หนุนกลุ่มคนข้ามเพศ เข้าถึงบริการสุขภาพ
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
ในทุกสังคมมีผู้คนหลากหลายอยู่ร่วมกัน รวมไปถึงกลุ่มเพศทางเลือกหรือกลุ่มคนข้ามเพศ อย่างไรก็ตามพบว่าคนกลุ่มนี้ยังประสบปัญหาความยากลำบากในการเข้าถึงรับบริการสุขภาพ ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย
ประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ไม่ดีจากสังคมที่กีดกันทางเพศ ส่งผลต่อสุขภาพใจของคนข้ามเพศ (Transgender people) ทำให้มีภาวะซึมเศร้าหรือเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากขึ้น แต่การใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ ปรับร่างกายให้ตรงตามอัตลักษณ์ทางเพศนั้นส่งผลดีต่อสุขภาพจิต ซึ่งการศึกษานี้ได้รวบรวมงานวิจัย 20 ชิ้น ของประชากรในยุโรป พบว่า การใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าที่น้อยลง และช่วยให้ภาวะวิตกกังวลดีขึ้น
ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในงานเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ "การผนวกรวมบริการสุขภาพจิตกับบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศในคลินิกสุขภาพคนข้ามเพศ" เมื่อเร็วๆ นี้ โดยอ้างอิงจากผลการศึกษา เรื่อง "การใช้ฮอร์โมนบำบัด สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของคนข้ามเพศ (Hormone Therapy, Mental Health, and Quality of Life Among Transgender People: A Systematic Review)" ซึ่งรวบรวมงานวิจัย 20 ชิ้น ของประชากรในทวีปยุโรป ผลการศึกษานี้พบว่า "การใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าที่น้อยลง และช่วยให้ภาวะวิตกกังวลดีขึ้น" อย่างไรก็ตาม บุคคลข้ามเพศต้องพบความยากลำบากในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย การดำเนินงานในเรื่องนี้จึงต้องพิจารณาถึงมิติความเหลื่อมล้ำในเรื่องสิทธิ เรื่องการเข้าถึงบริการ เรื่องเศรษฐานะ
ซึ่งการเสริมพลังและการมีส่วนร่วมของชุมชนและเครือข่ายคนข้ามเพศที่จะเป็นจุดคานงัดที่สำคัญในการทำความเข้าใจปัญหาหรือสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อที่จะสามารถออกแบบการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกายอย่างเป็นองค์รวมต่อไป ทั้งนี้ สสส. ตระหนักถึงความสำคัญของบริการสุขภาพจิตในงานบริการที่เกิดขึ้น จึงร่วมกับมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ริเริ่ม "โครงการ ส่งเสริมสุขภาวะ และลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนข้ามเพศในประเทศไทย (Transgender Health Access Thailand : T-HAT)" รวมถึงร่วมมือกับ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในโครงการสนับสนุนวิชาการและการพัฒนาเครือข่ายการให้บริการทางคลินิกกับบุคคลข้ามเพศ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ให้บริการแบบองค์รวม ครอบคลุมประเด็นปัญหาสุขภาพกาย ใจ และสังคมที่คนข้ามเพศต้องเผชิญ โดยพัฒนารูปแบบบริการที่ครอบคลุม และสอดคล้องกับความต้องการ ตลอดจนร่วมผลักดันนโยบายที่สำคัญ และการเข้าถึงบริการสุขภาพในระดับภูมิภาค
ณชเล บุญญาภิสมภาร ผู้รับผิดชอบโครงการส่งเสริมสุขภาวะ และลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนข้ามเพศในประเทศไทย (Transgender Health Access Thailand : T-HAT) ให้ความเห็นว่า การลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศได้ จำเป็นต้องมี นโยบายสุขภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาบริการสุขภาพเกี่ยวกับการข้ามเพศ โดยส่งเสริมราคาค่าบริการที่ยุติธรรม ทัศนคติผู้ให้บริการที่เป็นมิตร เป็นบริการที่มีคุณภาพ และครอบคลุมบริการทุกด้าน รวมถึงบริการด้านสุขภาพจิต และไม่กระจุกตัวอยู่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเท่านั้น
ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น ประจำคลินิกเพศหลากหลาย รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า คนข้ามเพศมีความต้องการด้านสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง เช่น การรับฮอร์โมนเพศเพื่อเริ่มกระบวนการปรับเปลี่ยนสรีระ หรือการรับบริการผ่าตัดเพื่อข้ามเพศ ดังนั้นการมีบริการสุขภาพที่เกี่ยวกับการข้ามเพศโดยเฉพาะจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก และสัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพใจ เพราะคนข้ามเพศจำเป็นต้องเข้าถึงบริการสุขภาพด้านการข้ามเพศ เช่น การรับฮอร์โมนเพศ เพื่อลดภาวะความกังวลเรื่องความเป็นเพศของตน (Gender Dysphoria)
รศ.ดร.นพ.อติวุทธ กมุทมาศ ผู้อำนวยการคลินิกสุขภาพเพศ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ปัจจุบันมีคลินิกปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตสำหรับเพศหลากหลายซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และยังมีไม่เพียงพอ "การบริการ สุขภาพของบุคคลข้ามเพศควรเป็นการบริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานของทุกโรงพยาบาลในทุกจังหวัด" และควรมีคลินิกสุขภาพเพศเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่ผนวกรวมบริการด้านสุขภาพจิตจากจิตแพทย์เป็นส่วนหนึ่งในงานบริการสุขภาพสำหรับคน ข้ามเพศด้วย
ผศ.ดร.รณภูมิ สามัคคีคารมย์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และอาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การดูแลสุขภาพของคนข้ามเพศต้องฟังความต้องการของคนข้ามเพศเป็นสำคัญ ซึ่งสังคมและระบบสาธารณสุขควรมีพื้นที่ให้คนข้ามเพศทุกคนได้มีโอกาสพูด และบอกเล่าเรื่องความต้องการ และเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาด้านสุขภาพจากตัวเจ้าของปัญหา
"การลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศในประเทศไทยต้องอาศัยการทำงานเชิงนโยบายที่เอื้อ ต่อคนข้ามเพศ การมีทัศนคติที่เข้าใจปัญหาที่คนข้ามเพศเผชิญหน้าในสังคมที่ยังมีปัญหาการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ ทำความเข้าใจและเห็นความเป็นมนุษย์ที่ทุกข์ร้อนจากระบบการบริการสุขภาพทั้งทางกาย และจิตใจที่ยังคงมีช่องว่างให้พัฒนา สังคมสามารถขับเคลื่อนไปได้เมื่อทำความเข้าใจและผลักดันไปด้วยกันเพื่อสังคมแห่งความเท่าเทียมทางเพศ เพื่อสุขภาพกายและจิตที่ดีของคนข้ามเพศ และทุกคนในสังคม" ผศ.ดร.รณภูมิ กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันกระแสโลกนั้นไปในทางเปิดรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีการปรับเปลี่ยนไปแล้วพอสมควร เช่น มหาวิทยาลัยหลายแห่งอนุญาตให้นักศึกษาแต่งกายตามเพศสภาพได้ การยกเลิกการระบุในเอกสารคัดเลือกการเกณฑ์ทหารว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นผู้ป่วยทางจิต รวมถึงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างการรับรองทางกฎหมายสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน เพียงแต่ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าจะใช้วิธีแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างกฎหมายใหม่ขึ้นมาอย่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต
ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพของคนข้ามเพศ ในปัจจุบันมีเพียง "บุคคลที่มีภาวะเพศกำกวม (Intersex)" หมายถึง "ผู้ที่มีสรีระร่างกายมากกว่าหนึ่งเพศ" สามารถเข้าถึงสิทธิการตรวจวินิจฉัยและรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดได้เท่านั้น โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีหนังสือตอบกลับเรื่องดังกล่าวไปยัง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2560 แต่การข้ามเพศโดยทั่วไปยังไม่อยู่ในสิทธิดังกล่าว ซึ่งในอีกมุมก็ต้องยอมรับ "ข้อจำกัดด้านงบประมาณ" ด้วยเช่นกัน เนื่องจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นสวัสดิการที่ดูแลการรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยของคนไทยทุกคน โดยพยายามให้ครอบคลุมมากที่สุดตามความจำเป็น "สิทธิ" กับ "ความคุ้มค่า" จึงเป็นเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนัก และนั่น ทำให้เรื่องนี้ยังเป็นข้อถกเถียงมาจนถึงปัจจุบัน