หนังสือเดินทางเดินตามรอย “ศาสตร์พระราชา”
ที่มา : เว็บไซต์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ไทยโพสต์
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จัดกิจกรรมลงพื้นที่เพื่อให้เครือข่ายพ่อแม่ ครูและนักเรียน มีโอกาสใช้ประโยชน์จากคู่มือการเรียนรู้ศาสตร์พระราชาในแคมเปญ “หนังสือเดินทางตามรอยพระราชา” (The King’s Journey Learning Passport) ที่มุ่งสืบสานพระราชปณิธานในการพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้มีวัตถุประสงค์หวังกระตุ้นให้เกิดคุณลักษณะของบุคลากรในศตวรรษที่ 21 กับเด็กๆ โดยเน้นการหล่อหลอมเด็กจากการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งทำให้ผู้เรียนได้สนุกรู้ สนุกคิด สนุกเล่น โดยเริ่มต้นจากเส้นทางตามรอยพระราชาในภาคตะวันตก ซึ่งครอบคลุมแหล่งเรียนรู้ 9 แห่ง ใน 3 จังหวัด คือ นครปฐม สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ก่อนจะขยายให้ครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศ
พัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการด้านบริหาร สสค. กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ต้องการให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ศาสตร์ของพระราชาจากประสบการณ์จริง ด้วยการเข้าถึง เข้าใจในพระวิริยอุตสาหะ พระอัจฉริยภาพและความรักความห่วงใยของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
"ตัวคำถามและกิจกรรมสร้างสรรค์ประสบการณ์จริงจากแหล่งเรียนรู้ ด้วยแนวคิด “สนุกรู้ สนุกคิด สนุกทำ” และกระบวนการ Transformative Learning: Head Heart Hand (3H) ที่ส่งเสริมการคิด การสร้างแรงบันดาลใจ การลงมือปฏิบัติ เป็นแนวทางหลักที่นำไปสู่การพัฒนาเด็กๆ"
สำหรับ น้องๆ รวมทั้งผู้ปกครองที่ได้ร่วมเรียนรู้ครั้งนี้มาจากโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ส่วนพื้นที่จริงที่ให้เด็กๆ ได้มีประสบการณ์นั้นก็คือ โครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ จังหวัดสมุทรสงคราม โดยพื้นที่โครงการ คุณยายประยงค์ นาคะวะรังค์ ข้าราชการบำนาญโรงพยาบาลทรวงอก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง 5 แปลง พื้นที่รวม 21 ไร่ 12 ตารางวา ในตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมของมูลนิธิชัยพัฒนา โดยเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2551 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโครงการ โดยพระราชทานนามโครงการแห่งนี้ว่า โครงการอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์
ด้วยธรรมชาติความเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น "เมือง 3 น้ำ" ที่มีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำแม่กลองไหลผ่าน มีลำคลองผ่านหลายสาย คือ คลองอัมพวา คลองวัดนางวัง คลองวัดบางกะพ้อม คลองบางจาก คลองดาวดึงษ์ คลองลัตตาโชติ การทำการเกษตรในพื้นที่นี้จึงต้องปลูกพืชที่ตอบโจทย์ความอดทนต่อความเปลี่ยนแปลงของน้ำ ที่นี่จึงปลูกมะพร้าวมาก และความเป็นพื้นที่ลักษณะพิเศษนี้เองที่ทำให้ได้มะพร้าวที่มีคุณสมบัติเฉพาะถิ่น ซึ่งเมื่อนำมาทำน้ำตาลมะพร้าวจะหอม หวาน อร่อยกลมกล่อมเป็นพิเศษ
เด็กและผู้ปกครองได้เห็นการใช้ประโยชน์จากมะพร้าวอย่างครบวงจร ได้เห็นการทำน้ำตาลปี๊บทุกขั้นตอนตั้งแต่การตัดงวงมะพร้าว แล้วเอากระบอกมารองรับน้ำตาล การกรองน้ำตาลสด และการเคี่ยวน้ำตาลก่อนมาเป็นก้อนปึกๆ อันเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม
จากนั้นก็ได้เข้าครัวคุณยายสมัยรัชกาลที่ 2 ทำลูกชุบและขนมวงทอง รู้จักเรือนไทยและการทำเรือนไทยโบราณ รู้จักวิถีชีวิตริมสายน้ำที่ต้องสัญจร ประกอบอาชีพด้วยเรือรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การนำท่อนไม้หลายท่อนมาผูกเป็นแพ จนมาถึงมีการขุดท่อนซุงเป็นเรือ การรู้จักเรือไทยพื้นบ้านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีชื่อเรียกที่ไม่คุ้นหูคนปัจจุบัน เช่น เรือเข็ม เรือมาดประทุน เรือชะล่า เรือกระแชง เรือข้างกระดาน เรือเอี้ยมจุ๊น เรือผีหลอก เรือบด ถูกบันทึกถ่ายทอดออกมาเป็นแบบลายเส้นในกระดาษให้เด็กๆ ทำความรู้จักด้วยการฝึกระบายสี นอกจากนี้ยังได้เห็นการทำหัวโขน และฝึกสานใบมะพร้าวเป็นรูปต่างๆ จากผู้สอนซึ่งเป็นคนในท้องถิ่น และสนุกทำน้ำม่วงชื่น ชานชาลา สูตรพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ
เด็กชายอินทัช ปิ่นมณี นักเรียนชั้น ป.6 รร.สาธิตละอออุทิศ กล่าวว่า รู้สึกสนุกที่ได้เดินทางมาทัศนศึกษาตามเส้นทางในหนังสือเดินทางตามรอยพระราชา ไม่เหมือนเดินทางมาเที่ยวแบบที่เคยมากับครอบครัวหรือโรงเรียน เหมือนได้เรียนนอกห้องเรียนที่ได้ลงมือปฏิบัติจริงอีกด้วย
“ได้ลองสานใบมะพร้าวเป็นรูปปู ปลา ตอนเริ่มก็ยากครับ แต่ก็พยายามจนได้ เห็นการทำสิ่งของพื้นบ้านซึ่งในโรงเรียนไม่มี ผมเคยเห็นบ้างในอินเทอร์เน็ต ซึ่งต่างจากที่ได้มาสัมผัสจริงมาก” เด็กชายอินทัชกล่าว
จริยาพร ปิ่นมณี ผู้ปกครองของเด็กชายอินทัช ระบุว่า ปกติช่วงวันหยุดจะส่งลูกไปเรียนพิเศษ แต่หลังจากที่ทราบว่าจะมีการจัดกิจกรรมครั้งนี้ก็สนับสนุนให้มา เพราะเห็นว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงน่าจะได้ประโยชน์กว่า เห็นคำแนะนำในหนังสือเดินทางตามรอยพระราชา และลูกเคยบอกว่าอยากเป็นนักเขียน ก็บอกเขาว่าถ้าอยากเป็นนักเขียนจะต้องรักการจดบันทึก บรรยายสิ่งที่พบเห็นและทำความเข้าใจอย่างละเอียด และต้องรักการเดินทางไปพบสิ่งใหม่ๆ ตอนนี้ก็อาจจะเริ่มจากสถานที่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ ตามโครงการพระราชดำริต่างๆ 9 แห่งตามที่ระบุไว้ในคู่มือเล่มนี้ก็ได้
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้คือส่วนหนึ่งในหนังสือเดินทางตามรอยพระราชา คือสถานที่เดียวที่ยังรอให้พวกเขากำหนดจุดหมายยังที่อื่นๆ อีก 8 แห่งในโอกาสต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน