สุขภาพปากและฟัน อีกประเด็นรับมือ`สังคมสูงวัย`
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
สังคมสูงวัย คือภาวะที่สังคมหนึ่งมีประชากรสูงวัยมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้นในปี 2559 ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 16.5 และคาดการณ์ว่าในปี 2573 จะเพิ่มเป็นร้อยละ 26.6 โดยสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากคือ สุขภาพ เพราะหากผู้สูงอายุเจ็บป่วย ค่ารักษาพยาบาลจะมากกว่าคนในวัยทำงานอย่างมาก
ทั้งนี้ “สุขภาพในช่องปาก” ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าห่วง โดยจากการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากประเทศไทยปี 2560 พบว่าผู้สูงอายุวัย 60-75 ปี สูญเสียฟันทั้งปากร้อยละ 8.7 และเพิ่มเป็นร้อยละ 31 ในวัย 80-85 ปี สาเหตุจากโรคฟันผุและโรคปริทันต์ ซึ่งโรคดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ แม้ว่าผู้สูงอายุจะมีสิทธิ์รับบริการด้านสุขภาพช่องปาก ทั้งด้านส่งเสริมป้องกัน รักษา และฟื้นฟู แต่ปัญหาคือไม่สามารถเข้าถึงบริการ เพราะเดินทางลำบาก ไม่มีคนพาไป รอคิวนาน เนื่องจากต้องเข้ารับบริการในภาครัฐเท่านั้น
ทพญ.วรางคนา เวชวิธี ทันตแพทย์เชี่ยวชาญสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กล่าวในงาน“เวทีวิชาการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อข้อเสนอเชิงนโยบายประกอบการจัดทำแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ประเด็นสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทย” ว่า สิ่งที่ควรดำเนินการในแผน 3 คือ 1.ต้องให้ผู้สูงอายุดูแลตนเองได้เพื่อไม่ให้โรคกลับมาอีก 2.หน่วยบริการควรมีระบบบริการรองรับครบวงจร โดยเทียบเคียงกับงานดูแลเด็กที่มีการตรวจตั้งแต่แม่เริ่มตั้งครรภ์ กระทั่งเด็กเติบโตและเข้าโรงเรียน
“ในส่วนการให้ข้อมูลทำได้ 2 ช่องทาง คือผ่านชมรมผู้สูงอายุในชุมชนและระบบออนไลน์ ขณะนี้ให้ข้อมูลผ่านชมรมและวัด out put (เอาท์พุท) ว่าเข้าถึงข้อมูลมากน้อยแค่ไหน อีกขาหนึ่งคือพัฒนาระบบบริการรองรับ ทันตาภิบาลเป็นช่องทางสำคัญ เพราะผู้สูงอายุเดินทางไกลไม่สะดวก อยากให้มีทันตาภิบาลดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งต้องผลักดันการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับผู้สูงอายุด้วย” ทพญ.วรางคนา กล่าว
เช่นเดียวกับ ทพญ.ชื่นตา วิชชาวุธ นักวิชาการอิสระ เปิดเผยถึงจากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.นครศรีธรรมราช โดยพบว่า “ชมรมผู้สูงอายุ หรือโรงเรียนผู้สูงอายุเป็นสถานที่ที่ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคมมาเข้าร่วมกิจกรรม” หลายแห่งมีการให้ความรู้เรื่องสุขภาพช่องปาก มีทันตาภิบาลเป็นกำลังสำคัญในการดูแลรักษา รวมทั้งออกเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุติดเตียง ขณะที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บางแห่ง มีทันตแพทย์หมุนเวียนไปปฏิบัติงาน แต่เน้นการรักษาไม่ใช่ป้องกัน
จึงเสนอแนะว่า 1.เร่งผลิตทันตาภิบาล/นักวิชาการสาธารณสุขด้านทันตสาธารณสุข ลงไปใน รพ.สต.เพิ่มอีกปีละกว่า 1,500 คน เพื่อให้มีจำนวนเพียงพอในระดับตำบล 2.เพิ่มการเข้าถึงบริการโดยระบบบริการรัฐร่วมเอกชน ให้ผู้สูงอายุรับบริการจากคลินิกได้ตามสิทธิที่ยังขาดการบริการ ได้แก่ อุด ขูด ถอน ใส่ฟันเทียมรากฟันเทียม โดยไม่ต้องร่วมจ่าย 3.ทันตแพทยสภา กระทรวงอุดมศึกษาวิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาหลักสูตรทันตแพทยศาสตรบัณฑิต และสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต ในเรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
4.ให้กระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองท้องถิ่น รวมถึงกรุงเทพมหานคร พัฒนาระบบบริการทันตกรรมสำหรับผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ตั้งแต่บริการทันตสาธารณะสุขในชุมชนที่สามารถค้นหาภาวะผิดปกติและส่งต่อไปยังระบบที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างชุมชนไปยัง รพ.สต., โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไปโรงพยาบาลศูนย์ เป็นเครือข่ายบริการปฐมภูมิที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
และ 5.ให้กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุดมศึกษาวิจัยและนวัตกรรม สนับสนุนงบประมาณเพื่อประเมินผลติดตามสถานการณ์เรื่องทันตสุขภาพของประชาชนไทยกลุ่มต่างๆ ทุก 2 ปี เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันในการวางแผนการดำเนินงานพัฒนาระบบบริการทันตสุขภาพ โดยมีเป้าหมายให้ผู้สูงอายุไทย สามารถมีฟันไว้ใช้จำนวน 20 ซี่ แม้จะมีอายุถึง 80 ปี
ด้าน นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้จัดการโครงการการทบทวนสถานการณ์ความต้องการระบบและเครื่องมือที่จะตอบสนองต่อปัญหาของผู้สูงอายุในประเทศไทยและการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะกลาง กล่าวว่าการทำวิจัยประเด็นสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทยเพื่อเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งสำหรับแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นแผนระยะ 20 ปี จะเริ่มในปี 2565 (ปัจจุบันอยู่ในแผนฯ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2545 – 2564) ได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย
ในเวทีเสวนา ผู้เข้าร่วมเสวนามีข้อเสนอแนะบางประเด็น อาทิ ทพ.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล เลขาธิการมูลนิธิเครือข่ายพัฒนาศักยภาพผู้นำสร้างสุขภาวะ กล่าวว่า การเข้าถึงบริการอาจทำเป็นเป็น mobile serviceให้คนไข้ลงทะเบียนไว้ และมีรถทันตกรรมเคลื่อนที่ไปให้บริการในพื้นที่ ส่วนการพัฒนาหลักสูตรสำหรับทันตแพทยศาสตรบัณฑิต ในเรื่องผู้สูงอายุ ควรทำเป็นคอร์สสั้นๆ เพื่อปรับให้ร่วมสมัยตลอดเวลา เพราะความรู้ด้านทันตกรรมในผู้สูงอายุเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
ทพ.พิชัย อัศวินใจเพ็ชร ตัวแทนจากสมาคมทันตแพทย์เอกชนไทย เสนอว่าว่าถ้าสามารถให้ภาครัฐร่วมดำเนินการกับเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม จะแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการได้ “จำนวนทันตแพทย์ในประเทศไทยเทียบกับคนไข้สมดุลกัน เพียงแต่ทันตแพทย์ส่วนใหญ่ทำงานภาคเอกชน” หากมีกฎหมายระบุให้ภาคเอกชนต้องแบ่งเวลามาร่วมงานกับภาครัฐร้อยละ 15-20 จะทำให้คนไข้เข้าถึงบริการมากขึ้น
ทพ.ทรงวุฒิ ดวงรัตนพันธุ์ อาจารย์คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ควรกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นสถานบริการใกล้บ้านอย่าง รพ.สต. หรือเทศบาล เพื่อให้มีงบประมาณดำเนินการและพัฒนาบุคลากร รวมทั้งมีโจทย์ของตนเอง ไม่ใช่ถูกกำหนดจากส่วนกลาง เช่น อายุ 80 ปีต้องมีฟันเหลือ 20 ซี่ ซึ่งในสภาพความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้
“ผู้สูงอายุในต่างจังหวัดแม้มีฟันไม่ถึง 20 ซี่ แต่เขาอาจมีความสุขดี ผมอยากให้เราเห็นภาพใหญ่ไม่ควรเอาตัวชี้วัดเป็นเป้าหมายหรือบังคับให้พื้นที่เช่น ผู้สูงอายูใส่ฟันปลอมครบกี่ปาก ส่วนกลางต้องปรับท่าทีและกระจายอำนาจให้เขตสุขภาพดูแล และมีเป้าหมายของตัวเอง ผมคิดว่าหัวใจสำคัญสุดคือเราต้องพัฒนาคน พัฒนาทันตบุคลากร พัฒนาสหวิชาชีพและพัฒนาประชาชน” ทพ.ทรงวุฒิ กล่าว