สื่อสร้างสรรค์ วิถีใหม่ งานทันตสาธารณสุขไทย

สถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ (สสพ.) จับมือเครือข่ายทันตบุคลากรสร้างเสริมสุขภาพคนพิการและชมรมทันตสาธารณสุขแห่งประเทศไทย, คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และภาคีเครือข่ายหน่วยงานด้านทันตสาธารณสุข จัดประชุมวิชาการเรื่อง สื่อ สร้างสรรค์: วิถีใหม่ งานทันตสาธารณสุขไทย ขึ้น 

สื่อสร้างสรรค์ วิถีใหม่ งานทันตสาธารณสุขไทย

ชี้มีคนพิการจำนวนมากที่ยังถูกละเลยเรื่องฟัน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนพิการแย่ลง นักวิชาการเสนอปฏิรูประบบการเรียนการสอนหมอฟัน ให้จัดวิชาที่เรียนเรื่องการทำฟันสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ พร้อมเตรียมเสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อสม.และรพ.สต. เข้ามาดูแลสุขภาพช่องปากคนพิการในเบื้องต้นด้วย

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ จ.เชียงใหม่ เครือข่ายทันตสุขภาพคนพิการ ร่วมกับสถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ (สสพ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารสุข (สวรส.) เครือข่ายทันตบุคลากรสร้างเสริมสุขภาพคนพิการและชมรมทันตสาธารณสุขแห่งประเทศไทย คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และภาคีเครือข่ายหน่วยงานด้านทันตสาธารณสุข ได้ร่วมกันจัดประชุมวิชาการเรื่อง สื่อ สร้างสรรค์: วิถีใหม่ งานทันตสาธารณสุขไทย เพื่อเป็นเวทีในการเผยแพร่ด้านวิชาการการสื่อสารสุขภาพสำหรับบุคลากรทันตสาธารณสุขทั่วประเทศ 

นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลย์ผลประเสริฐ นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลย์ผลประเสริฐ กล่าวเปิดงานว่า กฏเกณฑ์หรือมาตรวัดในการกำหนดเรื่องความพิการนั้นเกิดจากคนทั่วไปในสังคมแทบทั้งสิ้น ทั้งที่หลายสิ่งหลายอย่างคนพิการที่ถูกกำหนดความพิการโดยพวกเรานั้นสามารถจัดการเรื่องบางเรื่องได้ดีกว่าพวกเราอีก  ทั้งนี้หากนำมาตรวัดในรูปแบบอื่นมาวัดเรื่องความพิการเราอาจจะเป็นคนที่พิการเองก็ได้ อย่างไรก็ตามเรื่องทันตสุขภาพของคนพิการนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะคนพิการในหลายประเภทไม่สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของตนเองได้ ผู้ปกครองคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการหลายคนก็ไม่คิดว่าเรื่องสุขภาพช่องปากของคนพิการนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นความเจ็บปวดจากโรคที่เกิดจากฟันนั้นเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงมาก

นพ.สุวิทย์กล่าวอีกว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เรามีเครือข่ายเครือข่ายทันตสุขภาพคนพิการ ที่ทำงานด้วยใจและดูแลคนพิการด้วยความเอาใจใส่ นอกจากนี้แล้วยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ ทีเกิดขึ้นจากการทำงานของทันตแพทย์หลากหลายภูมิภาคที่เข้าร่วมในเครือข่ายนี้ทำให้คนพิการจำนวนมากในหลากหลายภูมิภาคได้รับการดูแลเอาใจใส่ การทำงานของเครือข่ายทันตสุขภาพคนพิการในครั้งนี้นั้นถือเป็นการลงทุนทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ ทุนที่จะทำให้คนพิการได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และจะไม่ใช่เฉพาะคนพิการเท่านั้นที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คนในสังคมก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเช่นกัน และหากเครือข่ายทันตสุขภาพคนพิการได้รับการพัฒนาและต่อยอดให้เพิ่มมากขึ้นก็จะเรื่องที่ดีต่อคนพิการและคนในสังคมเป็นอย่างมาก

พญ.วัชรา ริ้วไพบูลย์ด้าน พญ.วัชรา ริ้วไพบูลย์ ผู้อำนวยการสถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ(สสพ.) กล่าวว่า การที่เราเห็นคนพิการจำนวนมากต้องทุกข์ทรมานจากการเจ็บปวดซึ่งเกิดจากโรคในช่องปาก จึงทำให้เกิดเครือข่ายทันตแพทย์ในนามกลุ่มเครือข่ายทันตสุขภาพคนพิการขึ้น ซึ่งเครือข่ายทันตสุขภาพเพื่อคนพิการนั้นประกอบไปด้วยทันตแพทย์จากหลากหลายภูมิภาคที่ทุ่มเททำงานเพื่อสุขภาพช่องปากของคนพิการ เครือข่ายทันตสุขภาพได้ดำเนินทำงานมา 2 ปีแล้ว และปัจจุบันเครือข่ายมีความเข้มแข็งมาก  และจะเป็นผู้นำงานด้านการพัฒนาสาธารณสุข ในเรื่องของสุขภาพฟันและเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ ซึ่งในอนาคตเราจะขยายการดูแลโดยร่วมมือกับเครือข่ายอื่นๆ ไปถึงผู้สูงอายุด้วย

ในการประชุมวิชาการครั้งนี้ ได้มีการนำเสนองานวิจัยซึ่งเป็นการสังเคราะห์องค์ความรู้ เพื่อการพัฒนาระบบบริการและระบบสร้างเสริมสุขภาพสุขภาพช่องปากสำหรับคนพิการในประเทศไทยด้วย โดย ทพญ.ดร.มัทนา เกษตระทัต หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า การสังเคราะห์องค์ความรู้ เพื่อการพัฒนาระบบบริการและระบบสร้างเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับคนพิการในประเทศไทยนั้นเริ่มต้นจากการศึกษาเอกสารงานวิจัยของต่างประเทศก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยของสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย แล้วนำองค์ความรู้ที่สรุปได้มาหารือในองค์กรที่เกี่ยวข้องเรื่องของทันตสุขภาพในประเทศไทย ทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันว่าจะพัฒนาระบบบริการทันตสุขภาพในช่องปากสำหรับคนพิการได้อย่างไรบ้าง

ทพญ.ดร.มัทนา เกษตระทัต

“ในประเทศไทยถือว่าทำล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆ อย่างมาก เพราะเพิ่งเริ่มศึกษางานวิจัยได้เพียง 1 ปีกว่า ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เงินไม่ใช่อุปสรรคสำคัญในการรักษา เพราะมีงบของหลักประกันถ้วนหน้า และกองทุนทันตกรรมอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเรื่องของทักษะของบุคลากรมากกว่า เราพบว่าในวิชาเรียนของนักศึกษาทันตแพทย์ในบางมหาวิทยาลัยก็เป็นเพียงการสอนบันทึกในวิชาเรียนเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้นักศึกษาได้ลงพื้นที่ปฏิบัติ หรือสัมผัสกับผู้ป่วยจริง จึงทำให้ทันตแพทย์ที่ยังไม่เคยรักษาผู้ป่วยที่เป็นคนพิการไม่กล้าให้การรักษา ด้วยเพราะกลัวโรคทางระบบ กล่าวคือไม่รู้วิธีการสื่อสารว่าก่อนรักษาจะสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างไร กลัวรักษาแล้วไม่เหมือนเดิม หรือบางคนอาจจะไม่ได้กลัว แต่ปฏิเสธที่จะรักษาเพราะมีงานเยอะเหลือเกิน” หัวหน้าทีมวิจัย กล่าว

ทพญ.ดร.มัทนา กล่าวอีกว่า ถ้าจะเปลี่ยนทัศนคติคนเรา ต้องลองให้ปฏิบัติจริง เกิดการสัมผัส รับรู้ จนเกิดการเรียนรู้ ดังนั้นหากสามารถทำให้หลักสูตรการเรียนการสอนของนักศึกษาทันตแพทย์ มีชั่วโมงเรียนที่ให้ลงพื้นที่และให้การรักษากับคนพิการจริง รวมถึงให้การอบรมทักษะกับทันตบุคลากรในปัจจุบันจะช่วยให้ประเทศไทยมีทันตบุคคลากรที่รักษาสุขภาพในช่องปากคนพิการได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ทพญ.ดร.มัทนา ยังได้นำเสนอข้อมูลเชิงนโยบายในงานวิจัยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับงานดูแลสุขภาพช่องปากของคนพิการในระดับปฐมภูมิโดยมีชุมชนเป็นฐานและควรทำงานร่วมกับสหวิชาชีพ พร้อมทั้งควรสนับสนุนให้โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านช่วยเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพช่องปากและบริการทางทันตกรรมให้กับคนพิการส่วนมากที่ไม่มีความซับซ้อนในแผนการรักษา ทั้งนี้ควรสนับสนุนให้องค์การบริการส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทหลักในการกำหนดนโยบายและดำเนินงานอีกด้วย งานวิจัยครั้งนี้ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ. 2555 และจะถูกนำเสนอให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพในช่องปากสำหรับคนพิการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

นอกจากภายในงานจะมีการนำเสนอผลงานวิจัย ซึ่งเป็นการสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาระบบบริการและระบบสร้างเสริมสุขภาพสุขภาพช่องปากสำหรับคนพิการในประเทศไทยแล้ว ภายในงานยังได้มีการนำเสนอผลงานวิชาการแบบโปสเตอร์และนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้ของภาคีเครือข่าย โดยมีห้องประชุมย่อยเพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการและนิทรรศการด้านการพัฒนาระบบสุขภาพช่องปากสำหรับคนพิการในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย
 

ที่มา: สถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

Shares:
QR Code :
QR Code