สิทธิ์และเสียงของแม่วัยใส
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
'รักแท้' ในวัยที่ชั่วโมงบิน ยังน้อย เป็นอีกโอกาสเสี่ยงที่อาจพลาดพลั้งได้ง่าย ช่วงเวลาหนุ่มสาว มักมีมุมมองการ ใช้ชีวิตที่เพิ่งเริ่มต้น ประกอบกับ "ฮอร์โมน" แห่งวัยที่กำลังทำงานเต็มที่ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ "ความรัก" และ "เรื่องเพศ" ในวัยรุ่นนำไปสู่อุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ
แม้ "ท้องก่อนวัยอันควร" เป็นปัญหาคลาสสิกที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย แต่ยิ่งอยู่ในสังคมยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีเป็นสื่อช่วยกระตุ้นเร้า ก็เหมือนจะยิ่งส่งเสริมให้ปัญหานี้ ยิ่งขยาย สุดท้ายสถานการณ์บานปลาย ที่ทำให้เกิดหลายปัญหาที่ตามมา ไม่ว่าเป็นสุขภาพจิตและสุขภาพกาย เนื่องจากเป็นวัยที่ยังไม่เหมาะสมสิทธิ์ของแม่วัยใส เพื่อกระตุกให้ทุกฝ่ายในสังคมได้รู้จักและตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น นำมาสู่การชูประเด็นการแก้ปัญหา"การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น" จนสามารถขับเคลื่อนผลักดัน พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ ในวัยรุ่น ที่ได้ประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2559 ความคาดหวังของ พ.ร.บ.ดังกล่าว คือการให้ "วัยใส" เข้าถึงสิทธิอนามัย การเจริญพันธุ์ และการทำงานอย่าง บูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาท้องในวัยรุ่น ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน นั่นคือวัยรุ่นมีสิทธิที่จะตัดสินใจด้วย ตัวเองว่าจะยุติการตั้งครรภ์หรือไม่ มีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้
การได้รับบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ การได้รับจัดการ สวัสดิการสังคม ไปจนถึงสิทธิการได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค และการได้รับรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว เป็นต้น ซึ่งหากจะส่องพฤติกรรมปัญหาวัยรุ่นตั้งครรภ์ในไทย มีข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านสุขภาพวัยรุ่น ศาสตราจารย์ซูซาน เอ็ม ลอว์เยอร์ (Professor Susan M Sawyer) จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ท่ามกลางเวทีการเสวนา Overview of adolescent health and teenage pregnancy: from global analysis to community actions ในการจัดประชุม เรื่องสุขภาวะทางเพศครั้งที่ 3 จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) ร่วมมือกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงการศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย พบว่า จากการศึกษาวิจัยเรื่องสุขภาพและปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นจากทั่วโลกว่า สาเหตุส่วนใหญ่ล้วนเกิดโดยความไม่ตั้งใจ หรือเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้มีการวางแผน ซึ่งหากทุกฝ่ายสามารถเตรียมการป้องกัน ไม่ให้วัยรุ่นพลาดพลั้งได้ ก็เชื่อว่าแนวโน้มสถานการณ์นี้จะลดลง
ศ.ซูซาน เอ่ยต่อว่า ผลวิจัยยังสะท้อนว่าต้นตอปัญหายังมีปัจจัยทางสังคมและปัจจัยแวดล้อม อาทิ ชุมชน หรือสังคม ล้วนส่งผลกระทบทั้งสิ้น ดังนั้นการทำงานเรื่องการลดการตั้งครรภ์วัยรุ่น ไม่สามารถทำได้แค่ด้านเดียว หรือเฉพาะแค่การให้ความรู้เรื่องเพศ แต่จำเป็นต้องมองในมุมที่กว้างมากขึ้น นั่นคือการทำงานแบบองค์รวมของการส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชน ทั้งทางกายและจิตใจ ไปจนถึงการส่งเสริมความรู้สึกเชิงบวกในตัวเอง การเพิ่มคุณค่า และทักษะการ ใช้ชีวิต เพราะปัจจัยเหล่านี้จะช่วยป้องกันเป็นภูมิคุ้มกันปัญหาหลาย ๆ เรื่อง
บริการสุขภาพวัยรุ่นเข้าถึงแค่ไหน?
ศ.ซูซาน เผยต่อว่า ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพวัยรุ่น ประเทศไทยสามารถดำเนินการเรื่องที่เป็นอุบัติการณ์เห็นชัด อาทิ โรคติดเชื้อ ประเด็นการตั้งครรภ์ หรือการบาดเจ็บได้ดี
"แต่ในด้านที่เราไม่ค่อยเห็นคือในเรื่องการให้บริการด้านสุขภาพแก่เด็กและวัยรุ่น อาทิ ปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งกว่าหน่วยงานจะดำเนินการจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดปัญหาใหญ่โตแล้ว รวมถึงบริการต่างๆ หรือ ความต้องการใหม่ ๆ ที่กลับยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน อาทิ กระบวนการป้องกัน เช่น การใช้วัคซีน หรือมาตรการต่าง ๆ เป็นต้น
ดร.ซูซาน จึงนำเสนอว่าทางเลือกของการให้บริการ ควรมีการปรับรูปแบบการให้บริการสุขภาพในเชิงรุก โดยยึดพื้นฐานจากความต้องการของเด็กและเยาวชน และตอบสนองความต้องการนั้นให้มากที่สุด โดย 4 องค์ประกอบหลักสำหรับการทำงานด้านวัยรุ่น หนึ่ง คือวัยรุ่นต้องเป็นศูนย์กลางของการทำงาน ทั้งการมีส่วนร่วมและทำงานที่คำนึงถึงวัยรุ่นเป็นหลัก สอง นโยบายและกระบวนการทำงาน ตอบโจทย์บริการ สามครอบครัวต้องมีส่วนร่วม และสี่ ควรทดสอบการบริการต่าง ๆ ที่มีให้ว่ามีคุณภาพดีแค่ไหน
"ซึ่งทั้งสี่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ ต้องมีการอบรมให้ความรู้ต่อเนื่องกับ ผู้ให้บริการและมีกฎหมายออกมาช่วย ขับเคลื่อน"โรงเรียน อีกคลินิกสุขภาพวัยทีน "นอกจากการมองในเชิงประเด็นปัญหา เราต้องมองหาด้วยว่าจะเข้าถึงเด็กและ วัยรุ่นได้ในพื้นที่หรือช่องทางใดบ้าง อาทิ สถานให้บริการด้านสุขภาพ โรงเรียน หรือแม้แต่ช่องทางออนไลน์ที่มีอิทธิพล ต่อวัยรุ่นโดยเฉพาะพื้นที่โรงเรียน คือ พื้นที่สำคัญการทำงานปัญหาสุขภาพวัยรุ่น เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่แทบจะแยกไม่ได้ระหว่างโรงเรียนกับเรื่องสุขภาพ" ศ.ซูซานกล่าว
ซึ่งนอกจากบ้านแล้ว โรงเรียนคือพื้นที่ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเยาวชนสูง โรงเรียนจึงยังเป็นพื้นที่ที่ให้ความรู้เฉพาะทางด้านสุขภาพได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น หากเราเปลี่ยนแปลงอะไรในโรงเรียนได้ จะส่งผลต่อสุขภาพของนักเรียน อย่าดูถูกพลังของวัยรุ่น ศ.ซูซาน แนะว่า การทำงานกับวัยรุ่น ให้มองเป็นกลยุทธ์แบบหยินหยาง "หยิน" คือการมองว่าพวกเขาเป็น ผู้รับบริการ ส่วน "หยาง" นั้นคือการหนุนเสริมให้วัยรุ่นสามารถเป็นผู้ที่ดูแลและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสุขภาพด้วยตัวเองได้ รวมถึงการนำศักยภาพของวัยรุ่นที่มีความคิดสร้างสรรค์มามีส่วนร่วม ในการทำงานด้วย
"สาเหตุที่เราต้องทำงานเรื่องวัยรุ่น นอกจากเป็นสิทธิที่วัยรุ่นควรจะพึงมีและได้รับแล้ว ยังเป็นการทำงานที่ส่งเสริมการให้วัยรุ่นรู้จักเรียนรู้การดูแลสุขภาพวัยรุ่นด้วยตัวเอง ซึ่งจะเป็นรากฐานที่ดีไปจนถึง วันที่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเท่ากับ การมีประชากรที่มีคุณภาพ"
"มองว่าจริง ๆ ภาครัฐกำลังพยายามเข้าถึงเด็กและเยาวชนมากที่สุด แต่เรายังพบว่าเด็กและเยาวชนโดยทั่วไปส่วนใหญ่ ยังไม่ทราบสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ ที่ตัวเองพึงได้รับเท่าที่ควร" เสียงสะท้อนจากคนต้นเรื่อง แนน-ภัทรวดี ใจทอง จากสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย และตัวแทนเยาวชนในคณะกรรมการท้องวัยรุ่นระดับชาติ ให้ความเห็นในมุมของวัยรุ่นว่า "เวลาเราเข้าทำงานประชุมกับผู้ใหญ่ แต่ละหน่วยงานจะบอกว่าอยู่ในระดับที่ดี สถานการณ์ดี หรือได้รับการยอมรับแล้ว เรามองว่า ผู้ที่กำหนดนโยบายหรือบริหารประเทศจะได้รับแค่ข้อมูลเหล่านี้เท่านั้น แต่เขายังไม่ได้เห็นปัญหาที่แท้จริง เพราะยังมีหลายปัญหาที่ตกหล่นกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้"
ภัทรวดี สะท้อนต่อว่า ทุกวันนี้เวลาเด็กมีปัญหาจะเซิร์ชกูเกิ้ล เด็กมักไม่ได้ไปหา พ่อแม่ก่อน ซึ่งในโลกสื่อออนไลน์หรือ โซเชียลมีเดียเองก็ไม่บอกความจริงหรือข้อมูลถูกต้องทุกอย่าง เราควรช่วยกัน สร้างกระแสให้เด็กเยาวชนมาดูแลปัญหากันเองมากขึ้น ที่สำคัญแม้จะมีกฎหมาย พ.ร.บ.แก้ปัญหาท้องวัยรุ่นแล้ว หากแต่ในทางปฏิบัติยังมี หลายประเด็นที่กฎหมายบางตัวยังไม่ครอบคลุม อาทิ ในเรื่องช่วงวัย เพราะใน พ.ร.บ.นิยามวัยรุ่นว่าอายุ 10-20 ปีเท่านั้น จึงเกิดการตั้งคำถามว่า แล้วหากเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่อายุมากกว่านั้นเขาสามารถใช้กฎหมายนี้ในการช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่
"เคยมีกรณีเยาวชนคนหนึ่งอินบ็อกซ์ เข้ามาปรึกษากับทีมงานสภาเด็กและเยาวชน แห่งประเทศไทยว่า กำลังเรียนมหาวิทยาลัย แต่ตั้งครรภ์ หนูไม่รู้จะปรึกษาใคร ไม่รู้ต้องติดต่อใครทำไง รวมถึงกรณีวัยรุ่นควรได้รับการบริการจากสถานให้บริการด้วยความ เป็นมิตร หรือการรับบริการคุมกำเนิดฟรีหรือราคาถูก หลายคนเขาไม่รู้ตรงนั้นและไม่ได้ใช้สิทธิ์ของตัวเอง แนนมองว่าปัญหาเหล่านี้มันเป็นช่องว่างที่เราเอื้อมไม่ถึง อย่างเด็ก ๆ ที่แถวหมู่บ้านแนนเอง ในภาคอีสานหลายคนยังไม่รู้ ง่าย ๆ แค่การจะเดินทางไปโรงพยาบาลเองก็ไม่สะดวกขนาดนั้น แตกต่างกับในเมืองใหญ่ที่ภาพค่อนข้างเข้าถึง หรือเด็กที่อยู่นอกระบบโรงเรียนมองว่าเขายังแตะไม่ถึงสิทธิและสวัสดิการเหล่านั้น" เธอยกตัวอย่างง่าย ๆ จากประสบการณ์ส่วนตัว" พร้อมกล่าวต่อว่า "อยากให้สังคมให้โอกาสกับเด็กที่มีปัญหา เด็กหลายคนไม่กล้าบอกพ่อแม่ ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการ ก็คือประตูแรก เมื่อเด็ก มาถึงเราแล้ว น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะใส่อะไรให้เขา ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือกำลังใจ"
ด้าน โรนี บาสุ (Roshni Basu) Regional Advisor Adolescent Development, UNICEF East Asia and Pacific Regional Office ร่วมแสดง ความเห็นเสริมว่า "เสียงของวัยรุ่น" คือหัวใจสำคัญ คนทำงานบริการด้านนี้ จึงควรฟังความต้องการของเด็ก
"การมีส่วนร่วมคือหัวใจสำคัญการออกแบบแผนงานด้านสุขภาพวัยรุ่น เจ้าของปัญหา คือวัยรุ่นนั่นเอง ที่สามารถเข้ามามีบทบาทในการช่วยออกแบบการวางแผน การดำเนินการ ไปจนถึงขั้นตอนการติดตามและประเมินผล โดยทั้ง ภาคสังคมและภาคนโยบายที่ต้องมี ส่วนร่วมอีกสิ่งสำคัญคือการสื่อสาร จะทำให้การเข้าถึงบริการที่จัดไว้ เป็นไปได้จริง"
พร้อมสรุปว่าการทำงานกับวัยรุ่นจำเป็นต้องดูหลายบริบท ทั้งในโรงเรียน ชุมชน สังคมหรือที่ ๆ วัยรุ่นอยู่
"การทำงานกับครอบครัวของวัยรุ่น เป็นอีกกลไกที่จะทำให้วัยรุ่นเข้าถึง การบริการต่าง ๆ และชี้นำพฤติกรรม เพราะครอบครัวใกล้ชิดมากที่สุด" โรนี กล่าวทิ้งท้าย