สำรวจ “อึ” เพื่อสุขภาพ
ใยอาหาร-ออกกำลัง ช่วยแก้ท้องผูก
คุณเคยได้ยินคำว่า “ขี้หด ตดหาย” ไหมคะ…หลายคนเมื่อได้ยินแล้วอาจรู้สึกเฉย ๆ แต่คุณรู้ไหมว่าคำๆ นี้เป็นคำที่แทงใจและโดนใจคนที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายเข้าอย่างจัง…เพราะสำหรับคนกลุ่มนี้แล้วการขับถ่ายในบางครั้งอาจจะแสนยากเย็น ทำให้ปวดท้องจนตัวงอ อึดอัดจะแย่!! อยากปลดปล่อยเป็นที่สุด แต่เจ้าอึก็ยังไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้าค่าตากันสักที.. เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ให้ปวดใจได้อย่างไร?
อาการขี้หด ตดหายนี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ท้องผูก” ซึ่งหมายถึง การอึยาก อึไม่คล่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายๆ คนต้องพบเจออยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว แต่ความธรรมดาเหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เพราะอาการ “ท้องผูก” ที่เราปล่อยปละละเลยนี่เอง ที่อาจทำให้เราเสียใจในภายหลังได้!!!
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า โดยปกติแล้วคนเรามีนิสัยการอึไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่วันละครั้ง บางคนอาจมากหรือน้อยกว่านั้น แต่ถ้าหากคุณเริ่มอึน้อยครั้งลงกว่าปกติ แถมกากอาหารที่อึออกมายังมีสีคล้ำ แข็งโป๊ก และกลิ่นสุดจะบรรยาย นั่นแสดงว่าคุณท้องผูกจนต้องเริ่มใส่ใจตัวเองแล้ว เพราะหากปล่อยให้ท้องผูกบ่อยครั้ง อาจเป็นอันตรายกับลำไส้ใหญ่ได้
ซึ่งสาเหตุของการท้องผูกนั้น ก็มีด้วยกันหลายสาเหตุ ตั้งแต่การรับประทานอาหารที่ไม่มีเส้นใย กินแต่ข้าวขาว ขนมปังขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมเค้ก ซึ่งอาหารเหล่านี้ไม่มีเส้นใย ในขณะที่ร่างกายของเราต้องการเส้นใยวันละ 20-25 กรัม และความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการท้องผูก เพราะเมื่อคนเราเกิดความเครียด จะมีอาการเบื่ออาหาร การขับถ่ายก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย โดยร่างกายจะระงับการขับถ่ายชั่วคราว รอจนพ้นวิกฤต หายเครียด จึงจะกินง่ายถ่ายคล่อง
ส่วนการกลั้นอึก็มีผลเช่นกัน เพราะร่างกายจะเกิดความเคยชิน ไม่บีบตัว และไม่ถ่ายไปซะดื้อๆ นอกจากนี้ อึเก่าๆ ที่คุณกลั้นไว้ก็จะถูกดูดน้ำออกไปทุกวันๆ ทำให้มันเป็นก้อนแข็งอุดตัน ปิดกั้นการเคลื่อนตัวของของเสียในลำไส้ จึงยิ่งทำให้ท้องผูก ถ่ายลำบากยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ยังรวมถึงคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายเป็นการกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารที่ดีที่สุด การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจะทำให้กล้ามเนื้อลำไส้บีบตัวและเกิดการขับถ่ายของเสียออกมา
ใครที่แก้ปัญหาอาการท้องผูกด้วยการรับประทาน “ยาถ่าย” ฟังทางนี้…การใช้ยาระบายบ่อยครั้ง จะยิ่งเป็นการสร้างความเคยชินให้กับลำไส้ ทำให้หยุดทำงานตามปกติ และจะบีบตัวขับถ่ายอึก็ต่อเมื่อกินยาเข้าไปกระตุ้นเท่านั้น คนที่ใช้ยาถ่ายติดต่อกันนานๆ จึงจะมีปัญหาท้องผูก ถ่ายเองไม่ได้ ถ้าไม่ทาน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้ท้องผูกอีกด้วย อาทิ การดื่มชา กาแฟ เป็นต้น
แต่ทว่าหลังจาก “อึ” ออกมาแล้ว จะมีใครสักคนไหม? ที่เหลียวหลังกลับไปดูหรือก้มมองว่า อึ นั้น มีหน้าตาเป้นอย่างไร?…ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้จะให้ไปพิจารณารูปร่างพร้อมกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของ อึ แต่หมายถึงการสังเกตลักษณะของ อึ ต่างหาก! เพราะ อึ ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนภัยที่ร่างกายของเราขับบอกมาเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ!
ที่นี้เรามาลองสังเกตเจ้าตัวเหลืองที่ลอยคอ รอคอยอยู่ในโถชักโครกกันดีกว่า หน้าตาของมันจะบอกโรคได้อย่างไร?…ซึ่ง อึ สามารถแบ่งแยกได้เป็น 7 ประเภทด้วยกัน แบบแรก ก็คือ “อึแบบกล้วย” ที่มีสีเหลือง มีกลิ่นแบบพอรับได้ ไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป เมื่อตกลงน้ำแล้วจะลอยตัว พร้อมกับมีเศษหลุดออกมา อึแบบนี้เป็นอึที่มีสภาพดีมาก บอกถึงสภาพจิตใจที่ดี และอาหารที่รับประทานก็มีความสมดุลต่อร่างกาย ควรรักษาให้มีอึแบบนี้ตลอดไป เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ
แบบที่สอง เป็น “อึแบบผอม” ที่มีสีน้ำตาลแดงปนดำ เวลาปล่อยจะมีลักษณะขาดเป็นช่วงๆ คล้ายเส้นอุด้ง รูปร่างผอมลีบ เหลวข้น และมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว อึแบบนี้จะมาจากคนที่กล้ามเนื้อท้องมีปัญหา อาจเกิดจากการขาดสารอาหาร หรือกำลังอยู่ในช่วงที่ลดน้ำหนักจนมากเกินไป อึแบบนี้ไม่ดีนัก ควรปรับปรุงด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น และดูแลลำไส้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยของหมัก อาทิ ผักดอง หรือ โยเกิร์ต เป็นต้น
และแบบที่สาม ก็คือ “อึแบบดินโคลน” ที่มีสีน้ำตาลแดงเข้มค่อนไปทางดำ มีกลิ่นแรงและเหม็นมาก ลักษณะเป็นดินโคลน ถ่ายครั้งละมากๆ คล้ายกับคนเป็นท้องเสีย อึแบบนี้เป็นเพราะร่างกายดูดซึมน้ำไม่เพียงพอ ต้องระวังลำไส้จะเป็นแผล ดังนั้นควรพักผ่อนเยอะๆ เพราะการอึแบบนี้เป็นสัญญาณของการอดนอน อีกทั้งควรกินอาหารที่มีไฟเบอร์เยอะๆ งดอาหารเผ็ด ชา กาแฟ ถ้าอึเป็นแบบนี้นานๆ ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพอย่างละเอียดอีกครั้ง
ส่วนอึแบบที่ 4 เป็น “อึแบบน้ำ” ซึ่งมีโอกาสเป็นได้หลายสี ยกเว้นสีน้ำตาล ถ่ายแต่ละครั้งจะมีปริมาณประมาณ 2-3 ถ้วยกาแฟเลย ลักษณะเป็นน้ำ มีกลิ่นเหม็นมาก อึแบบนี้คือ อึที่ลำไส้ไม่ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำ สาเหตุก็คงมาจากเรื่องของความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นควรจะพักผ่อนเยอะๆ ทำจิตใจให้สบาย และงดอาหารจำพวกที่มีไขมันและโปรตีนสูง ควรกินผักเยอะๆ แทน และถ้ายังอึเป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
มาดูกันต่อที่อึแบบที่ห้า ได้แก่ “อึแบบแข็งปนน้ำ” ที่มีโอกาสเป็นได้หลายสี ถ่ายออกมาแต่ละครั้งมีปริมาณประมาณ 1-2 ถ้วยซุปเช่นเดียวกับอึแบบน้ำ แต่ในเรื่องของกลิ่นก็อาจจะเหม็นบ้างไม่เหม็นบ้าง มีลักษณะเป็นน้ำ และแต่ปริมาณก้อนเศษอาหารที่ผสม อึแบบนี้จะถ่ายออกมาในลักษณะเป็นน้ำสลับแข็ง หรือพร้อมๆ กัน บ่งบอกได้ว่าลำไส้ขาดความแข็งแรงแล้ว อาจเพราะความเครียด หรือมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น ดังนั้น ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หรือไม่ก็ไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยละเอียดอีกครั้ง
สำหรับแบบที่หก ก็คือ “อึแบบแข็ง” ซึ่งมีสีน้ำตาล น้ำตาลแดง หรือดำ มีลักษณะเป็นก้อนหินเม็ดเล็กๆ ประมาณ 2-10 เม็ดเหมือน “ขี้กระต่าย” มีกลิ่นเหม็นมาก และทุกเม็ดจะแข็งมากๆ นั่นเพราะในลำไส้ขาดน้ำ และอึเม็ดเล็กๆ ไปแข็งอยู่ในลำไส้นาน จึงส่งผลทำให้เกิดโรคท้องผูก ดังนั้น ผู้ที่มีอึแบบนี้จึงควรดื่มน้ำเยอะๆ และทานอาหารที่มีไฟเบอร์ เพื่อให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น และที่สำคัญอย่ากลั้นอึเด็ดขาด มิฉะนั้นโรค “ริดสีดวงทวาร” จะถามหาเอาได้
แบบสุดท้ายเป็น “อึแบบดีที่สุด” ที่มีสีเหลืองทอง กลิ่นไม่แรงมากนัก มีลักษณะเป็นขดเป็นวง เหมือนในการ์ตูน เสมือนอึแบบกล้วยที่ยาวมากจนขดกันเป็นวงโดยที่ไม่ขาด แถมยังมีความนุ่มนวลอีกด้วย เจ้าของอึแบบนี้ ต้องบอกว่ามีสุขภาพที่ดีเยี่ยม แถมยังมีสภาพจิตใจที่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์สุดขีด
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ เพราะ อึ ที่น่ากังวลที่สุด นั่นก็คือ “อึเป็นเลือด”…และที่บอกว่าน่ากังวลนั้น เพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่า ตนเองเป็นแค่โรคริดสีดวงทวารหนัก และไม่ได้สนใจกลับเจ้าหัวเหลืองอมเลือดเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การ อึ เป็นเลือด มีด้วยกันหลายสาเหตุ ทั้งแผลขอบทวารหนัก ฝีบริเวณทวารหนัก หรือโรคของเส้นเลือดในเยื่อบุผนังลำไส้แตก แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ…มะเร็ง!!!
ซึ่งการอึเป็นเลือดนี้ ก็สามารถแบ่งเป็นสองประเภท เพื่อแยกแยะอาการป่วย โดยอึเป็นเลือดแบบแรก จะมีลักษณะคล้ายกับการขับถ่ายปกติ และต่อมามีเลือดสด หยดตามมา แต่ไม่ปนกับอึ จากนั้นให้ลองคลำที่บริเวณรูทวารหนักดูว่า มีก้อนเนื้อ หรือ ติ่งอะไรอยู่บริเวณนั้นหรือไม่ หากพบว่ามี ให้สันนิษฐานได้เลยว่า เป็นริดสีดวงแน่นอน และแบบที่สอง คือ อึแล้วมีเลือดปนอยู่อึด้วย สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากตำแหน่งที่อยู่สูงขึ้นไป เนื่องจากลำไส้มีเวลามากพอที่จะผสมเลือดกับอึเข้าด้วยกัน รวมทั้งมีอาการ อาทิ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อึก้อนเล็กยาวเหมือนผ่านรูแคบ ๆ ท้องผูกสลับท้องเสีย และอึมีกลิ่นเหม็น แสดงว่ามีปัญหาที่เยื่อบุลำไส้ใหญ่ อาทิ ลำไส้อักเสบ หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะอึเป็นเลือดหรือมีเลือดผสมอยู่ในอึ ก็ล้วนแต่น่าตกใจทั้งนั้น เพราะนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายของเราแล้ว…วันนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้นำเคล็ดลับการอึง่ายมาเอาใจคนอึไม่ออกกันค่ะ…เริ่มจากการรับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ โดยการกิน ผักผลไม้เยอะๆ รวมถึงธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยดูดซึมและขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยเพิ่มเนื้ออึ ทำให้ขนาดพอเหมาะกับการบิดตัวของลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งและท้องจะไม่ผูกอีกต่อไป และที่สำคัญดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองทางเดินอาหารอย่างอาหารรสจัดๆ ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังควรออกกำลังกายเป็นประจำ…ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆไม่อยู่นิ่ง ไม่ควรนั่งหรือยืนนานๆ เพราะจะทำให้เกิดความดันในหลอดเลือดดำที่ช่องทวารหนักเพิ่มสูงขึ้น เอื้อต่อการเกิดริดสีดวงทวาร การออกกำลังกายยังสามารถช่วยป้องกันภาวะท้องผูกได้ด้วย เพราะจะทำให้มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มีแรงเบ่งที่ดี
หากปวดอึควรจะถ่ายทันที ห้ามกลั้นไว้นานๆ เพราะจะทำให้ลำไส้ใหญ่มีเวลาดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เหลืออึที่ขาดน้ำ จนเกิดอาการแข็งตัว ถ่ายยาก และที่สำคัญควรฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา ซึ่งช่วงเวลาที่สามารถขับถ่ายได้ดีที่สุดคือ ช่วงตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เพราะเป็นเวลาการทำงานของลำไส้ใหญ่ หากปล่อยเวลาล่วงมาจนถึงเก้าโมงเช้าแล้วล่ะก็ กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้าเราไม่ทานข้าวเช้า ของเสียจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวผ่านลำไส้เล็กกลับมาถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารอีกครั้งหนึ่ง โดยอึเก่าจะมีแก๊สที่เสียแล้วเกิดจากการบูดเน่า และจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เลือดไม่สะอาด
นอกจากนี้การที่เลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับของเสียออกทางผิวหนังและลมหายใจทำให้เกิดกลิ่นตัว กลิ่นปากโดยไม่รู้ตัว หากไม่อึในตอนเช้าหลายๆ วัน จะทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัวและเกิดอาการท้องอืดได้ ที่น่ากลัว ใครที่ละเลยการขับถ่ายในช่วงเช้าเป็นเวลาหลายๆ ปี เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็วกว่าปกติอีกด้วย!
เชื่อ ไม่ เชื่อ ก็ต้องลองนำไปใช้กันดูเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดี พร้อมทั้งอย่าลืมพิสูจน์ “อึ” ของตัวเองหลังปล่อยออกมาทุกครั้ง เป็นวิถีทางที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบสุขภาพของตัวเอง…^^
เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต
Update 04-02-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์