สำรวจพบคนไทยความสุขลดเหตุจากการเมือง
เมืองกรุงครองแชมป์แฮปปี้ต่ำสุด
ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจความสุข เรื่อง ความสุขมวลรวม ในช่วงเดือนกันยายน-ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรณีศึกษาประชาชนคนไทยใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 3,293 ราย ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 7-11 ตุลาคม 2551 ผลสำรวจพบว่า ในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ความสุขมวลรวมของประชาชนคนไทยภายในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลวิจัยความสุขล่าสุดลดลงอีกจาก 5.82 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ 5.64 ในการสำรวจล่าสุด จนกล่าวได้ว่าค่าเฉลี่ยความสุขมวลรวมของประชาชนคนไทยล่าสุดนี้กำลังดิ่งลงสู่ค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างไปจากความสุขมวลรวมของคนไทยที่เคยค้นพบในช่วงการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเลยทีเดียว
“ปัจจัยสำคัญที่ประชาชนคนไทยมีความสุขต่ำสุดเหลือเพียง 1.98 จากคะแนนเต็ม 10 คือสถานการณ์ปัจจุบันในการชุมนุมของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ รวมถึงเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับประชาชนจนมีเหตุเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะเดียวกันมีปัจจัยด้านบรรยากาศทางการเมืองระดับชาติ และปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจระดับประเทศที่ประชาชนมีระดับความสุขเพียง 2.96 และ 3.13 ดังนั้น ฝ่ายการเมืองน่าจะเร่งกอบกู้ฟื้นฟูความสุขของประชาชนด้วยการเน้นหนักไปที่หลักธรรมาภิบาลที่ประกอบไปด้วย ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ความเสียสละและความรวดเร็วฉับไวรับผิดชอบต่อประชา ชนทุกคนอย่างเท่าเทียม และเร่งแก้ไขปัญหาปาก ท้องของประชาชนทั้งประเทศโดยเร็ว” ดร.นพดล กล่าว
ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวต่อว่า ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มประชาชนในพื้นที่กรุงเทพ มหานคร เมื่อเทียบกับประชาชนในพื้นที่ภูมิภาคอื่น ๆ พบว่า คนกรุงเทพฯมีระดับความสุขต่ำสุดในเกือบทุกประเด็นที่ทำการสำรวจ
“โดยพบว่า ความสุขมวลรวมของคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ 5.01 ประชาชนคนภาคใต้มีความสุขต่ำรองสุดท้ายคือ 5.09 ภาคกลางมีความสุขอยู่ที่ 5.36 ภาคเหนือมีความสุขอยู่ที่ 5.34 และประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความสุขสูงสุดคือ อยู่ที่ 6.40 ส่วนปัจจัยด้านบวกที่ช่วยประคับประคองความสุขของประชาชนไว้ได้ระดับหนึ่งคือ ความจงรักภักดี ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว หมายความว่า ถึงแม้ประชาชนอาจมีความทุกข์มาจากปัจจัยภายนอกบ้านมากเพียงใด แต่เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน ส่วนใหญ่ยังคงพบกับความสุขที่ได้รับจากคนภายในครอบครัว” ดร.นพดล กล่าว.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
update 13-10-51