สำรวจความสุขครอบครัวไทย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
แฟ้มภาพ
สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ความอบอุ่นในครอบครัวลดลง ครัวเรือนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น เกิดปัญหาครอบครัวแตกแยกและความรุนแรงในครอบครัว มีปัญหาตั้งครรภ์วัยรุ่น และมีการทอดทิ้งสมาชิกเพิ่มมากขึ้น รวมถึง หย่าร้างเพิ่มขึ้นทำให้เด็กอาศัยอยู่ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว เป็นโจทย์ใหญ่ในการวิจัย" ครอบครัวไทยอยู่ดีมีสุขอย่างไร?" ภายใต้บริบทที่แตกต่างกันออกไป
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้รายงานการวิจัยความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวตามระยะพัฒนาการและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวในสังคมไทย ภายใต้โครงการ ครอบครัวอยู่ดีมีสุข ผ่านดัชนีชี้วัดความสุขทั้ง 9 ด้าน ได้แก่ ด้านสัมพันธภาพ, ด้านบาทบาทหน้าที่, ด้านเศรษฐกิจ, การพึ่งตนเอง, การร่วมใจชุมชน, พัฒนาด้านจิตวิญญาณ, การศึกษา, การดูแลสุขภาพ และการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง
ศ.ดร.รุจา ภู่ไพบูลย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้รายละเอียดถึงขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งใช้เวลากว่า 2 ปี โดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ผ่านการสนทนากลุ่ม 310 ครอบครัวทั่วประเทศ เพื่อนำรายละเอียดมาสร้างแบบสอบถาม และนำไปสำรวจครอบครัวทั่วประเทศอีกกว่า 6,158 ครอบครัว แบ่งเป็น ภาคเหนือ 1,112 ภาคกลาง 1,604 ภาคอีสาน 1,864 ภาคใต้ 784 และ กทม. 794
แต่งงานแต่ไม่มีลูก"ความสุข"พุ่ง
จากการสำรวจพบว่า ภาพรวมของครอบครัวทั้งหมด ซึ่งแบ่งตามระยะพัฒนาการ 8 ระยะ ได้แก่ ก่อนเริ่มต้นครอบครัว, เริ่มต้น/ไม่มีบุตร, เริ่มเลี้ยงดูบุตรเล็ก, เลี้ยงดูบุตรวัยเรียน, เลี้ยงดูบุตรวัยรุ่น, วัยกลางคน, วัยชรา/สูงวัย และวัยชรามาก/สูงวัยมาก เต็ม 5 คะแนน ครอบครัวที่เพิ่งแต่งงานและยังไม่มีบุตร มีความสุขสูงที่สุด 3.82 คะแนน และความสุขจะลดลงมาต่ำที่สุดในช่วงเลี้ยงดูบุตรเล็ก 3.67 คะแนน และนี้อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวยุคใหม่นิยมไม่มีบุตรเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ครอบครัวที่มีระดับการศึกษา และสภาพเศรษฐกิจที่ดี ยังส่งผลให้ความสุขในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น และครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีสมาชิกจำนวน 7 คน จะเป็นครอบครัวที่มีคะแนนความสุขมากที่สุด คือ 3.88 คะแนน แม้จะเป็นครอบครัวลักษณะเฉพาะที่มีผู้พิการซึ่งส่งผลให้ความสุขลดลง แต่ก็สามารถแทนที่ได้จากความอบอุ่นและสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว
"ภาคใต้"มีความสุขที่สุด
ทั้งนี้ หากแบ่งการสำรวจ 4 ภาค และกรุงเทพมหานคร ภาคใต้ ถือเป็นภูมิภาคที่มีความสุขมากที่สุด 3.84 คะแนน เนื่องจากเศรษฐกิจภาคใต้สามารถช่วยตัวเองได้ค่อนข้างดีทำให้ไม่ค่อยมีปัญหา รองลงมา ได้แก่ ภาคอีสาน 3.80 คะแนน เนื่องจากบริบททาง สังคม ซึ่งส่วนใหญ่มีเครือญาติอาศัยอยู่ในระแวกเดียวกันทำให้ครอบครัวอบอุ่น ถัดมา ได้แก่ ภาคเหนือ 3.73 คะแนน ภาคกลาง3.72 คะแนน และกรุงเทพฯ มีความสุขน้อยที่สุดอยู่ที่ 3.59 คะแนน ทั้งในมิติด้านบทบาทหน้าที่ จิตวิญญาณ หรือเรื่องเงิน
เนื่องจากต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพในชีวิตประจำวัน ความสมดุลในชีวิตและครอบครัวจึงแย่กว่าภาคอื่นๆ รวมถึงคนกรุงเทพฯ ยังต้องใช้เวลาไปกับการเดินทาง และการทำงานค่อนข้างเยอะ ในขณะที่ภาคอื่นๆ อาจทำงานใกล้บ้าน มีเวลาเลี้ยงลูก และให้เวลากับครอบครัวได้มากกว่า แต่หากมองในภาพรวมของทั้งประเทศ ความอยู่ดีมีสุขจะอยู่ในระดับปานกลาง และดัชนีชี้วัดที่ทุกภาคมีปัญหา คือ ด้านเศรษฐกิจทั้งในส่วนของรายได้และเงินออม
Gen Z เปราะบางน่าเป็นห่วง
สำหรับในส่วนของครอบครัว Gen Z อายุระหว่าง 18 – 20 ปี ซึ่งหมายถึง การมีครอบครัวในช่วงอายุยังน้อย มีคะแนนต่ำสุดเกือบทุกด้าน เป็นกลุ่มที่ต้องการดูแล พัฒนา และสนับสนุน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบทั่วไปในกลุ่มนี้ แต่หากอีก 10 ปีข้างหน้าได้มีการสำรวจกลุ่ม Gen Z อีกครั้ง พวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่อายุมากขึ้นและอาจไม่น่าเป็นห่วง
ขณะที่กลุ่ม Baby Boomer และ Gen X เป็นกลุ่มที่มีคะแนนรวมครอบครัวอยู่ดีมีสุขสูงสุด 2 อันดับแรก กลุ่มผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป ยังเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากจะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ทำให้มีภาวะซึมเศร้า และที่ผ่านมาพบว่า มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงพอๆ กับกลุ่มวัยรุ่น
ดังนั้น ในงานวิจัยดังกล่าว จึงมีข้อเสนอแนะว่า ทางภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจัดหลักสูตรในการพัฒนาครอบครัวทุกช่วงวัย ทั้งการพัฒนาตามระยะวงจรชีวิต 8 ระยะด้วยองค์ประกอบดัชนีชี้วัด 9 ด้าน รวมถึงการพัฒนาครอบครัวที่มีภาวะเสี่ยง และการจัดการครอบครัวในภาวะวิกฤต
"ปทุมวัน"สังคมเหลื่อมล้ำชัด
นอกจากในเขตกรุงเทพฯ จะมีอัตรา ความสุขที่ต่ำสุดในประเทศแล้ว ยังมี ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง ซึ่งหลายคนอาจมองข้าม สายฝน สีตัสสะ นักพัฒนา สังคมปฏิบัติการ สำนักงานเขตปทุมวัน ได้สะท้อนมุมมองในฐานะผู้ทำงานใกล้ชิด ชุมชน พร้อมยกตัวอย่างในเขตปทุมวัน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งห้างสรรพสินค้า และชุมชนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
โดยแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ลุมพินี และ รองเมือง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของการเคหะฯ, จุฬาฯ และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีความเหลื่อมล้ำชัดเจน เนื่องจากชุมชนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แออัด ไม่ถูกสุขลักษณะ ชุมชนหลัง วัดปทุมด้านหลังคือคลองแสนแสบ และขนาบด้วยห้างใหญ่ หากไม่สังเกตจะไม่ทราบเลยว่ามีชุมชนอยู่ตรงนั้น ประชาชนที่ได้รับสิทธิเงินสบทบจากรัฐจะมีเพียงคนที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์ แต่ส่วนใหญ่คือ ประชากรแฝง หากใช้ดัชนีชี้วัดจะเห็นว่า การดำรงชีวิตของพวกเขาตกเป็นอันดับ 1 เพราะมีเรื่องของที่อยู่อาศัยและสุขภาพอนามัย
ผศ.ดร. สุชาดา ทวีสิทธิ์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ทำการวิจัยในเรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชนในครอบครัวเปราะบาง บริเวณชายแดนภาคอีสานเหนือและใต้ ให้ความเห็นว่าการจะพัฒนาเด็กและครอบครัว จำเป็นต้องมองเรื่องบริบทเฉพาะพื้นที่และครอบคลุมลักษณะเฉพาะต่างๆ จากการสำรวจพบว่า ครอบครัวที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งพ่อแม่ อยู่ในเรือนจำจากปัญหายาเสพติด เด็กที่พ่อแม่หย่าร้าง ย้ายถิ่น หรือติดคุก จะมี ปัญหามาก การทำงานในลักษณะพื้นที่ เฉพาะเหล่านี้จึงต้องมีลักษณะพิเศษ เรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผลที่ได้ จากการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญ ในการนำความรู้ ความคิดไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคม
รศ.ดร.จิตตินันท์ เดชะคุปต์ หนึ่งในทีมนักวิจัยโครงการครอบครัวไทยอยู่ดีมีสุข อธิบายว่า ความจริงแล้วไม่มีตัวชี้วัดไหนที่จะตัดสินได้ว่าครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร แต่งานวิจัยชิ้นนี้ ถือเป็นตัวสะท้อนช่วงเวลานั้นๆ ของชีวิต พวกเขามากกว่า ถือเป็นข้อคิดเตือนใจ และเป็นแนวทางให้สังคมได้คิดว่าต้องทำ เช่นไร เพื่อที่จะพัฒนาเครื่องมือในการ ทำงาน ปรับปรุง และช่วยเหลือต่อไป