สานพลัง ‘ลูโบ๊ะซูลง’ สู้ ‘ภัยพิบัติ’

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


ภาพประกอบจากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ


สานพลัง 'ลูโบ๊ะซูลง' สู้ 'ภัยพิบัติ' thaihealth


"ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ไม่อาจควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิต และทรัพย์สินได้ แต่การเตรียมความพร้อมรับมือก็สามารถบรรเทาผลกระทบ หรือลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้


บ้านลูโบ๊ะซูลง ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม มายาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ และสภาพพื้นที่เป็นแก้มลิงรองรับน้ำก่อนไหลลงสู่อ่าวไทย จึงทำให้เกิดน้ำท่วมประจำทุกปี ยิ่งเมื่อเริ่มมี การพัฒนาถนนหนทางต่างๆ การขยายตัว ของชุมชนโดยรอบ ทำให้เกิดการปิดกั้นเส้นทางน้ำตามธรรมชาติจนส่งผลให้ในระยะหลังปัญหาน้ำท่วมได้ทวีความรุนแรงขึ้น แต่ละครั้งกินระยะเวลานานกว่า 3 เดือน ระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้นจน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เสียหาย กระทบต่อวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพของคนในชุมชนอย่างรุนแรง


การวางแผนจัดการภัยพิบัติภายในชุมชนจึงเกิดขึ้น โดยมี "สภาผู้นำชุมชน" เป็นหัวแรงสำคัญในการนำวิกฤติมาเป็นโอกาส สร้างความรู้ความเข้าใจ ให้กับสมาชิกในชุมชน พร้อมผสาน ความร่วมมือภาครัฐและเครือข่ายอื่นๆ ในระดับพื้นที่ เพื่อกำหนดมาตรการวางแนวทางการจัดการปัญหา และรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมในชุมชนของ ตนเอง ภายใต้ "แผนการจัดการภัยพิบัติบ้านลูโบ๊ะซูลง" ในโครงการชุมชนน่าอยู่บ้านลูโบ๊ะซูลง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.)


ไซลฮูดิง สาอิ ผู้ใหญ่บ้าน และ ผู้รับผิดชอบโครงการฯ เล่าวว่า ลูโบ๊ะ เป็นภาษามลายูแปลว่า ที่ลุ่ม ในอดีตช่วงราวเดือนตุลาคมของทุกปีจะมีน้ำท่วมในพื้นที่ของชุมชน แต่ก็ท่วมไม่นานเพียงแค่ 1 อาทิตย์ก็หายไป แต่เมื่อมีการขยายถนน และการขยายตัวของชุมชนโดยรอบทำให้เส้นทางระบายน้ำตามธรรมชาติถูกปิดกั้น ทำให้หลายปีมานี้บ้านลูโบ๊ะซูลงต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก


"เวลาน้ำมาหลายบ้านที่ยกของไม่ทันข้าวของก็เสียหาย เดินทางไปไหนก็ลำบาก ไม่สามารถประกอบอาชีพได้  พอน้ำท่วมนานวันเข้าก็เริ่มมีกลิ่นเน่าเหม็น มีสารเคมีปนเปื้อน มีโรคที่เกิดจากน้ำท่วมมากมายตามมา ไม่นับรวมกับปัญหาขยะที่ลอยมาตามน้ำและไปอุดตันตามช่องทางระบายน้ำอีก สภาผู้นำชุมชนของเราก็เลย มาร่วมกันหาหนทางแก้ปัญหา มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเฝ้าระวังน้ำจากชุมชนต้นน้ำและปลายน้ำ และมีการกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาในชุมชนที่ชัดเจน"


หมู่บ้านลูโบ๊ะซูลงมีทั้งหมด 146  ครัวเรือน ได้รับผลกระทบจากปัญหา น้ำท่วมมากถึง 136 ครัวเรือน บางพื้นที่มีระดับน้ำท่วมสูงถึง 1.7 เมตร จึงได้มี การแบ่งโซนพื้นที่ออกเป็น 4 พื้นที่โดยมีแกนนำ และผู้รับผิดชอบแต่ละพื้น  มีการสำรวจข้อมูลความเสียหาย มีการติดตาม และเฝ้าระวังปัญหาน้ำท่วมถ้ามี ฝนตกหนักผ่านกลุ่มไลน์จิตอาสา ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือย่างทันท่วงทีหากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ และทำให้ความช่วยเหลือต่างๆ สามารถส่งผ่านเข้าไปถึงทุกคนในชุมชนได้อย่างรวดเร็ว และเท่าเทียม


ฮารง เยะแล สมาชิกสภาผู้นำชุมชน และเครือข่ายพื้นที่ต้นน้ำบ้านกะลูแปเหนือ และ ฆูฮำมัด อามีนดือราโอะ สมาชิกสภาผู้นำชุมชน และเครือข่ายพื้นที่ ปลายน้ำบ้านบาโงมูลง ร่วมกันให้ข้อมูลว่า แม้ทั้ง 2 ชุมชนจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมขัง แต่ก็เห็นความเดือดร้อนของชุมชนกลางน้ำอย่างบ้านลูโบ๊ะซูลง  จึงยินดีและพร้อมที่จะเข้ามาทำงานเป็นเครือข่ายร่วมกันเพื่อเฝ้าระวังและ แจ้งเตือนระดับน้ำ


"สภาผู้นำชุมชนจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ เตรียมความพร้อมของคน เตรียมความพร้อมในการจัดการความช่วยเหลือที่เข้ามาให้กระจายไปถึงผู้ที่เดือดร้อนอย่างเท่าเทียม และมีการนำข้อมูลไปแลกเปลี่ยนในการประชุมของหมู่บ้านอื่นๆ ทำให้เกิดเป็นเครือข่าย การเฝ้าระวังในระดับพื้นที่" ฆูฮำมัดอธิบาย


"วันนี้เราพยายามสร้างเครือข่าย เฝ้าระวังและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในระดับตำบล โดยใช้ศักยภาพที่มีในพื้นที่ ใช้แกนนำจิตอาสา ใช้เครือข่ายการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพราะเราหยุดฝนที่ตกหรือหยุดน้ำท่วมไม่ได้ แต่เราสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้" ฮารง บอก


สานพลัง 'ลูโบ๊ะซูลง' สู้ 'ภัยพิบัติ' thaihealth


โดยผลจากการทำงานของของ "สภาผู้นำชุมชน" ที่เข้มแข็ง และเครือข่าย หมู่บ้านจากต้นน้ำถึงปลายน้ำในการสำรวจ และจัดทำข้อมูลการจัดการน้ำของชุมชน ทำให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ของชุมชนแห่งนี้ได้รับการยอมรับ และสนับสนุนจาก ภาครัฐทั้งในระดับจังหวัด และท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการขุดถนนวางอุโมงขนาดใหญ่ลอดใต้ถนน 4 ช่องทางจราจรเพื่อระบายน้ำ การขุดลอกขยายคลองโคกหม้อ เพื่อช่วยเร่งระบายน้ำลงสู่แม่น้ำสายบุรี และการขุดสร้างอ่างเก็บน้ำแก้มลิงเพื่อรองรับน้ำก่อนที่จะระบายออกไปสู่คลองโคกหม้อ


มะอุสลัน เด็ง ผู้ประสานงาน โครงการฯ เล่าว่า การที่สภาผู้นำชุมชนได้มีกลไก และกระบวนการแก้ปัญหาเกี่ยวกับ ภัยพิบัติที่ชัดเจนทำให้ทางเทศบาล และอำเภอได้เห็นถึงสภาพปัญหาน้ำท่วมของหมู่บ้านที่แท้จริง จนทำให้เกิดเป็นโครงการขุดลอกคลองโคกหม้อ เพื่อแก้ปัญหาในการระบายน้ำของชุมชน ลงไปสู่แม่น้ำสายบุรี ทำให้สามารถ แก้ปัญหาน้ำท่วมได้ส่วนหนึ่ง โดยน้ำที่เคยน้ำท่วมขังอยู่ประมาณ 7 วันถึง 2 สัปดาห์ในปีนี้ก็อาจจะลดน้อยลงไป หรือไม่ก็อาจจะไม่มีน้ำท่วมเลยก็ได้


ส่วนความยั่งยืนในการจัดการของชุมชนในด้านการจัดการภัยพิบัติ  อันดับแรกจะต้องเกิดขึ้นจากสภา ผู้นำชุมชนเป็นลำดับแรก และสอง จะเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของ คนชุมชน ซึ่งถ้าหากทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันก็จะทำให้เกิดความยั่งยืนในแก้ปัญหาภัยพิบัติได้


"การรอความช่วยเหลือจาก คนอื่นมันช้า ความเสียหายมันรุนแรง  แต่การทำงานของสภาชุมชนของเรา  อย่างน้อยๆ ถ้าชาวบ้านรับรู้เข้าใจ  รู้กระบวนการ รู้ตัวก่อนที่น้ำจะมาถึง การทำงานของเราก็ประสบความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัตินั้นก็ได้นำเอาหลักศาสนาอิสลามที่ได้ระบุถึงเรื่องของการเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติ มาใช้เป็น เครื่องมือในการสร้างให้ชาวบ้านเกิดความรู้ เกิดความตระหนัก มีความเชื่อมั่น และมีส่วนร่วมในการทำงานของเราด้วย"


ไซลฮูดิง ช่วยเสริมว่า ในอดีต ชาวบ้านมักจะมองว่าปัญหาน้ำท่วมเป็นเรื่องของผู้ใหญ่บ้าน เรื่องของนายก อบต. หรือเรื่องของอำเภอและจังหวัด ที่จะต้องมาแก้ไขปัญหา ผิดกับวันนี้


"คนในชุมชนมองว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นปัญหาของเราเองต้องช่วยเหลือ ตัวเองก่อน ต้องแก้ไขด้วยตัวเองก่อน  ถ้าจัดการตนเองได้ รัฐก็จะสามารถเข้ามาหนุนเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"


วันนี้ "บ้านลูโบ๊ะซูลง" จึงเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ใช้ปัญหามาสร้างกระบวนการเรียนรู้ ควบคู่ไปกับการสร้างความสามัคคีและการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นในชุมชน และเตรียมที่จะยกระดับไปสู่การเป็นชุมชนจัดการตนเอง โดยคณะทำงานของ "สภาผู้นำชุมชน" มีความตั้งใจที่จะ พัฒนาให้ชุมชนแห่งนี้เป็นศูนย์การเรียนรู้ ด้านการจัดการภัยพิบัติในระดับตำบล และขยายผลไปสู่การจัดตั้งกองทุน ด้านภัยพิบัติของชุมชนเพื่อช่วยเหลือ ชาวบ้านที่ประสบปัญหาต่างๆ จาก ภัยธรรมชาติ


การสร้างชุมชนแห่งนี้ให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งในยามปกติและเมื่อเกิดภาวะวิกฤติ เพื่อยกระดับให้ที่นี่กลายเป็นชุมชนที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนในที่สุด-

Shares:
QR Code :
QR Code