สานต่อ ‘หนังของขวัญ’ เดินหน้าขับเคลื่อนความดี
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ไทยโพสต์
นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่เกิดขึ้นในโรงภาพยนต์เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายนำกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ผู้ปกครอง กว่า 100 คน จัดกิจกรรมสร้างการเรียนรู้ผ่านการชมภาพยนตร์เรื่อง "ของขวัญ"
ผลงานการสร้างสรรค์ของ 4 ผู้กำกับแถวหน้า "ปรัชญา ปิ่นแก้ว, นนทรีย์ นิมิบุตร, ก้องเกียรติ โขมศิริ, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล" ที่ร่วมใจถ่ายทอด 4 ภาพยนตร์สั้นอันได้รับแรงบันดาลใจจาก "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9" และมีเนื้อหาที่สร้างการเรียนรู้ให้เยาวชน โดยเฉพาะในเรื่องทักษะชีวิต รู้ทันอบายมุข และเข้าใจความหมายของชีวิต
เภสัชกรสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวถึงที่มาของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า เยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันเท่าทันปัจจัยเสี่ยงรอบตัว ทั้งอบายมุข การพนัน เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ซึ่งสอดรับกับกิจกรรมสร้างการเรียนรู้ผ่านการชมภาพยนตร์เรื่องของขวัญ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน ผู้ปกครอง ให้ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ชีวิต รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากเยาวชนที่ผ่านพ้นเรื่องราววิกฤติในชีวิตมาปรับเพื่อป้องกันตนเองให้รอดพ้นจากปัญหา และที่สำคัญเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นก่อให้เกิดแนวคิดในการใช้ชีวิตคิดบวก เปลี่ยนด้านลบเป็นพลังดี สู่การมีชีวิตอย่างมีคุณค่า
"ขณะเดียวกัน เนื่องจากวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันพ่อของคนไทยทั้งชาติ ที่จะได้ร่วมกันรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ภาพยนตร์เรื่องของขวัญถือเป็นผลงานเทิดพระเกียรติที่มีเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนไทยได้รับรู้ถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ ของรัชกาลที่ 9 ที่เป็นเหมือนแนวทางส่องสว่างในหัวใจที่พระองค์ท่านพระราชทานไว้ให้กับพวกเราและรุ่นลูกหลาน เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำความดีและส่งต่อความดีให้กัน งานนี้ต้องขอบคุณเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โรงภาพยนตร์เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก ที่เอื้อเฟื้อให้เยาวชนได้เข้าชมภาพยนตร์และได้สนับสนุนการจัดกิจกรรมในครั้งนี้" เภสัชกรสงกรานต์กล่าว
ด้าน นายสุขวิชัย อิทธิสุคนธิ์ หรือ "น้องม้อบ" กล่าวถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตของตนเองจากวังวนอบายมุขว่า ได้หันมาทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์เพื่อสังคม และซึมซับกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ โดยเมื่อก่อนอยู่ในกลุ่มแกะดำ หรือกลุ่มเพื่อนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง มีปัญหาทั้งยาเสพติด ปัญหาทางบ้าน จนก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้มาได้ พาตัวเองออกมาจากวังวนของปัญหา มารวมตัวกับเพื่อนทำกิจกรรมดีๆ สร้างสรรค์ เข้ากลุ่มคณะสิงโตเด็ก ซึ่งทุกคนชื่นชอบและมีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน
"สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเราเอง ถ้าเราไม่หนักแน่นในสิ่งที่เจอ จะทำให้เราหลุดและไปสู่สิ่งที่เป็นอันตราย ผมคิดว่าทุกคนต้องมีภูมิคุ้มกันของตัวเอง และรู้ว่าเราต้องเลือกทำอะไร ผมมาจากครอบครัวที่อยู่ในวังวนปัญหายาเสพติด ทั้งในวงจรการขายและเสพยา หลายคนบอกว่าครอบครัวอาจเป็นสิ่งกำหนดให้เราโตมาแบบไหน แต่สำหรับผม ผมคิดต่างกัน ผมคิดว่าครอบครัวไม่สามารถบังคับหรือกำหนดเราได้ แต่มันอยู่ที่เราเลือกที่จะปฏิบัติ เลือกที่จะให้ตัวเองมีชีวิตรอดและอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพด้วยตัวเราเอง ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นในตัวเอง เพราะทุกคนรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ชีวิตไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด และทุกสิ่งที่ได้มาก็เป็นแค่ชั่วขณะ มันก็หมดไป ถ้ากลับตัวไม่ได้อาจพบจุดจบได้" นายสุขวิชัยกล่าว
นายณัฎฐ์วัฒน์ วรรณสอน หรือ "น้องนิว" อดีตเยาวชนที่อยู่ในวงการพนันจนต้องโทษคดี กล่าวว่า สิ่งที่จูงใจทำให้เข้าไปข้องแวะกับการพนันฟุตบอล คือสภาพแวดล้อม ชุมชน เพื่อน และรุ่นพี่ เพราะเห็นและอยากลองตามประสาวัยรุ่น โดยเริ่มไต่ระดับจากการวางเดิมพันมูลค่าหลักร้อยจนแตะหลักแสน จนสุดท้ายนำมาสู่การใช้ความรุนแรง จากผลของพนันบอลในการทวงเงินค่าพนันและคู่อริเสียชีวิต จนทำให้ถูกจับดำเนินคดี สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ได้รับบทเรียน และขณะนี้ก็ไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกต่อไป วันนี้ตนเองได้กลับมาเรียนหนังสือ ใช้ชีวิตตามปกติแล้ว
ขณะที่ นายบุญชัย กัลยาศิริ ผู้กำกับอิสระ สะท้อนมุมมองเรื่องสื่อที่กำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญในสังคมไทย ว่า ในฐานะคนทำสื่อ ผลิตสื่อเองก็ต้องยอมรับว่า ยังเคยผิดพลาด ไม่เท่าทัน เพราะข้อมูลทุกวันนี้ไหลบ่าทุกช่องทาง หากตั้งรับไม่ทัน ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะตกอยู่ในอันตรายได้เหมือนกันหมด ไม่เฉพาะแต่เด็ก เยาวชน หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่เองด้วยซ้ำที่กลายเป็นเหยื่อมากกว่า จะเห็นจากคลิปต่างๆ ที่ถูกแชร์กันมาโดยไม่ตรวจสอบ ไตร่ตรองข้อมูล ว่าจริงเท็จแค่ไหน
ดังนั้นการรู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งสำคัญ ขนาดเราเป็นคนผลิตสื่อ รู้หลักการทำ บางทียังไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนปลอมหรือจริง แต่เพราะเราลงมือทำ เช่น ทำหนังสั้น เราดูคลิป วิดีโอ เรารู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่เด็ก เยาวชน มันค่อนข้างแยกยาก ต้องมีสติ ต้องดูเจตนาคนส่ง โฆษณาหรือของจริง คนไทยแชร์ไม่คิด แต่ก่อนคือจดหมายลูกโซ่ ตอนนี้คือแชร์คลิป คือไม่เช็กข้อมูลข้อเท็จจริง แล้วส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กที่เป็นมือแชร์คลิป
"ผู้รับสารต้องมีสติ และดูเจตนาคนส่งสาร ต้องดูเนื้อหา น้ำหนัก อย่าเอามาเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต ต้องศึกษาหาข้อมูล ให้เวลาช่วย อย่าฟันธงปักใจเชื่อเลยทีเดียว แต่ต้องเผื่อใจหาความจริง แน่นอนว่ากับเด็ก เยาวชนค่อนข้างยาก ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันมันอันตราย เพราะข้อมูลมันท่วมล้นไหลมาทุกช่องทาง ผู้ปกครองจึงไม่ควรปล่อย แต่ต้องดูแล รวมทั้งรัฐเองก็ต้องมีการจัดเรตเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม หรือคลิปเนื้อหาที่อันตรายก็ควรต้องมีการแบน ยุคนี้ข้อมูลไหล ควบคุมยาก สติจะช่วยควบคุมการใช้สื่อ ต้องมองว่าความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเรา สัมผัสได้ ไม่ใช่ผ่านสื่อ กล้อง เพราะมันล้วนผ่านการปรุงแต่ง ฉะนั้นเมื่อแต่ละวันทุกคนต้องเจอกับข้อมูลที่ไหลเข้ามาทุกทิศทาง การมีสติแยกแยะจึงสำคัญที่สุด" ผู้กำกับหนังกล่าว
นับเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่จะทำให้เยาวชนได้สานต่อความดีตามพระราชปณิธานของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 รวมทั้งส่งเสริมให้รู้เท่าทันสื่อร้ายในยุคดิจิทัลอีกด้วย