“สัญลักษณ์ขนม” ลดหวาน มัน เค็ม

ป้องกันลูกหลานตุ้ยนุ้ย ส่อโรคเรื้อรังในอนาคต

 

 “สัญลักษณ์ขนม” ลดหวาน มัน เค็ม

          เด็กกับขนม แยกกันแทบไม่ออกเหมือนเด็กกับการเล่น แต่เมื่อแยกกันไม่ออก เกาะติดกันเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนกลุ้มใจกันยกใหญ่ เพราะทานแต่ขนมไม่ทานข้าว แล้วลูกๆ หลานๆ จะขาดสารอาหารที่จำเป็นในการเจริญเติบโตไหม

 

          ขาดสารอาหารและจะแคระแกร็นคงเป็นภาพเก่าๆ ในอดีต แต่การกินขนมมากเกินไปทำให้เด็กกลับมีภาวะโภชนาการเกิน เด็กจะอ้วน น้ำหนักเกิน นำไปสู่โรคร้ายต่างๆ ในวัยเด็กหรือจะเป็นทุนสำรองโรคร้ายในช่วงที่โตขึ้นมา เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือด ฯลฯ

 

          เมื่อมาพิจารณาขนมที่เด็กซื้อมาทานก็เป็นสิ่งสอดคล้องว่าทำให้เด็กอ้วนมากขึ้น เพราะกว่า 90% ของขนมที่เด็กชอบกิน จะประกอบด้วยแป้ง น้ำตาล โซเดียม ทำให้เด็กได้รับแป้ง น้ำตาล จากขนมมากเกินไป อีกทั้งยังไม่ออกกำลังกายทำให้เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมอยู่ในร่างกาย เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพหลายระบบ

 

          หันมาเหลียวมองกลุ่มขนมที่มีปริมาณสารอาหารเกินเป็นเหตุทำให้น้ำหนักเกินด้วยนั้น ในกลุ่มน้ำตาลสูงสุด คือ ขนมบิสกิตสอดไส้ในปริมาณ 30 กรัม พบว่า มีน้ำตาลเฉลี่ย 10.4 กรัม ไขมัน 6.3 กรัม โซเดียม 138 กรัม หากลดขนมที่มีปริมาณไขมันสูงที่สุด คือ ขนมมันฝรั่งทอดกรอบ ในปริมาณ 30 กรัม พบปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 0.3 กรัม ไขมัน 9.7 กรัม โซเดียม 116.3 กรัม และขนมที่มีปริมาณโซเดียมสูงสุด คือ ขนมจำพวกปลาเส้น ในปริมาณ 30 กรัม มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 7.5 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม และโซเดียม 717 กรัม

 

          ล่าสุด โครงการดีๆ ที่เกิดขึ้นเพื่ออนาคตของชาติที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผนึกกำลังกับกระทรวงสาธารณสุขในการออกนโยบายการลดปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในขนมเด็ก เพื่อลดภาวะโภชนาการเกินของเด็กไทย ที่ขณะนี้มีการสำรวจ 2 ครั้ง ทิ้งช่วงห่าง 5 ปี พบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี อ้วนเพิ่มขึ้น 40%

 

          สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด และถือว่าเป็นปฐมบทในการมีนโยบายปกป้องลูกหลานที่จะตุ้ยนุ้ยจนส่อเป็นโรคเรื้อรังของเราในอนาคต คือ การผนึกกำลังจากหลายภาคส่วน ผลิตขนมลดน้ำตาล ไขมัน โซเดียมลง 25% พร้อมกับการกำหนดสัญลักษณ์ ในขนมที่มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน โซเดียม ลงไปเริ่มวางขายในท้องตลาดช่วงเดือนพฤษภาคมนี้

 

          สัญลักษณ์ที่จะพบจะมีตัวหนังสือสีฟ้า 4 ข้อความในวงกลมสีแดง ได้แก่

 

          1. ลดน้ำตาล ไขมัน โซเดียม

 

          2. ลดน้ำตาล ไขมัน

 

          3. ลดน้ำตาล โซเดียม และ ลดไขมัน โซเดียม

 

          โดยต้องมีข้อความ “บริโภคแต่น้อยและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ” ติดที่บรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครอง และหนูๆ ได้รับรู้และมีทางเลือกในการตัดสินใจเลือกซื้อขนมเพื่อสุขภาพ

 

          สิ่งดีๆ เริ่มขึ้นแล้วโดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทผู้ผลิตขนม 6 บริษัท คือ บริษัท วาไรตี้ ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท โรงงาน แม่รวย จำกัด (โก๋แก่), บริษัท เวิร์ลฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท อุตสาหกรรม ส.ขอนแก่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อัลฟ่า เจ จำกัด (ฟ้าสาธุ, ซองเดอร์)

 

          น้องๆ หนูๆ อาจคิดว่า หากปริมาณสารพวกนี้มันลดลง แล้วรสชาติมันจะเปลี่ยนไปหรือไม่ รวมถึงผู้ผลิตทั้งหลายก็เกรงว่า ไม่มีหวาน มัน เค็ม แล้วเด็กจะซื้อขนมทานต่อไปหรือไม่ ทั้งสองความกังวลนี้ได้รับการยืนยันจากนายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สสส. ว่าได้ทดลองผลิตแล้ว เด็กก็ยังนิยมบริโภคและเป็นไปได้ในเชิงการตลาด ซึ่งไม่กระทบกับกระบวนการผลิตและการตลาดอย่างแน่นอน

 

          ในช่วงท้าย ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุกยังแนะนำให้น้องๆ ไม่ควรทานขนมเกินวันละ 2 ซองต่อวัน หรือ 200 กิโลแคลอรีต่อวัน เพราะปกติเด็กจะกินขนมขบเคี้ยวเฉลี่ยวันละ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน ยิ่งดื่มน้ำอัดลมพร้อมกันจะทำให้ได้พลังงานมากถึง 400 กิโลแคลอรีต่อวันเลยทีเดียว พาลจะเป็นการสะสมไขมันจนอ้วน นอกจากนี้ปริมาณโซเดียมที่สะสมอยู่ในร่างกายจำนวนมากอาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง นำไปสู่โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุน้อยๆ

 

          ที่สำคัญไปกว่านั้น คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจอยู่แล้ว ยิ่งช่วยประหยัดเพราะเงินที่หมดไปกับขนมของลูกๆ จากผลการสำรวจการบริโภคขนมกรุบกรอบของเด็กและเยาวชนในปี 2549 พบว่ามีการใช้เงินซื้อขนมกรุบกรอบเฉลี่ย 26 บาทต่อคนต่อวัน คิดเป็น 40% ของค่าใช้จ่ายที่ได้รับต่อวันหรือคนละ 9,800 บาทต่อปี แต่เมื่อเทียบกับเงินที่ใช้ด้านการศึกษามีเพียง 3,024 บาทต่อปีเท่านั้น

 

          ไม่เพียงแต่เรื่องสุขภาพของลูกๆ หลานๆ แต่หากด้วยฉลากและเลือกบริโภคขนมที่ลดน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมลง และทานไม่เกิน 2 ซอง ต่อวันก็เป็นดีต่อสุขภาพกระเป๋าสตางค์ของผู้ปกครองในยามนี้ด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

Update 19-05-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code