สังคมไทยเจอวิกฤติต้องเยียวยาด่วน
อารมณ์ แตกแยก เห็นแก่ตัว ขาดคุณธรรม
“รองปลัด มท.” ชี้ สังคมไทยเจอวิกฤติอารมณ์ แตกแยก เห็นแก่ตัว ขาดคุณธรรม ต้องเยียวยาด่วน แนะทางรอด ดึงชุมชนเป็นโรงเรียนฝึกประชาธิปไตย สสส.หวัง สร้างฐานเข้มแข็งให้ชุมชน-ตำบล ก่อนนำไปสู่สังคมน่าอยู่ เน้นปลูกจิตสำนึกรัก สามัคคี ร่วมคิด ร่วมทำ
นายสมพร ใช้บางยาง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการเรียนรู้การสร้างสุขภาวะชุมชนโดยชุมชนระดับตำบล กล่าวว่า คณะกรรมการส่งเสริมการเรียนรู้การสร้างสุขภาวะชุมชนโดยชุมชนระดับตำบล จัดตั้งขึ้นโดย แผนงานสนับสนุนการสร้างสุขภาวะในพื้นที่และชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมวางแผน และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ ให้เกิดกระบวนการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะตอนนี้สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาความขัดแย้ง แตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีระบบทุนนิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง จนทำให้สังคมขาดความเข้มแข็ง กลายเป็นสังคมอารมณ์ เพราะคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ขาดความเสมอภาค ขาดคุณธรรม
นายสมพร กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤติดังกล่าว ต้องมองว่าจะทำอย่างไรให้ท้องถิ่นเกิดความเข้มแข็ง เพราะที่ผ่านมา ชนบท ท้องถิ่น ได้รับการเหลียวแลน้อยกว่าคนในเมือง ดังนั้นควรเริ่มจากการปลูกจิตสำนึกให้คนมีความรัก ความสามัคคี ไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตน ซึ่งสังคมไทยมีจุดแข็งหลายด้าน ทั้งระบบสวัสดิการ การเรียนรู้ด้านต่างๆ การใช้ศาสนากล่อมเกลาจิตใจ แต่กลับไม่ยอมนำออกมาใช้ ทั้งที่การปลูกจิตสำนึกให้กับชุมชน เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะต่อไปชุมชนจะสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนโรงเรียนฝึกประชาธิปไตยได้
นางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการแผนงานสนับสนุนการสร้างสุขภาวะในพื้นที่และชุมชน สสส. กล่าวว่า ทางออกของสังคมตอนนี้ต้องมีการขับเคลื่อนให้เกิดชุมชนเข้มแข็งก่อน โดยการใช้พื้นที่ในการพัฒนาชุมชน ดูศักยภาพชุมชนท้องถิ่น หมู่บ้าน ตำบล ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งองค์กรหลักๆ ที่อยู่ในพื้นที่เหล่านี้ถึงแม้จะทำหน้าที่เสริมสร้างให้เกิดชุมชนเข้มแข็ง แต่อาจทำงานภายใต้กรอบและเวลา ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน ให้เกิดการทำงานอย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม การทำให้ชุมชนเข้มแข็งเพื่อพัฒนาไปสู่ตำบล และสังคมที่น่าอยู่นั้น ต้องเริ่มจากองค์ประกอบหลักๆ คือ 1. การพัฒนาระบบข้อมูลในพื้นที่ 2. ส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิด ร่วมทำ 3. ดึงความรู้ที่มีอยู่เดิมออกมาปรับใช้ผ่านแหล่งเรียนรู้ เพื่อนำมาสู่การขยายผล 4. การวิจัยเพื่อสร้างความรู้ใหม่ โดยผ่านเครือข่าย สถาบัน องค์กรหลักในท้องถิ่น 5. สังเคราะห์นโยบายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ เช่น ข้อบัญญัติท้องถิ่น
ที่มา : สำนักข่าว สสส.
Update 26-04-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ฤทัยรัตน์ ไกรรอด