‘สะเนงสะเอง’ มนต์ฟื้นใจ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 


ภาพประกอบจากเว็บไซต์แนวหน้า


'สะเนงสะเอง' มนต์ฟื้นใจ thaihealth


แม้สายตาจะเฝ้ามองการร่ายรำ แต่สองมือที่เด็กหนุ่มตีลงไปก็ส่งทำนองได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้มือทั้งสองจะบวมแดง แต่แววตาหนุ่มน้อยนั้นก็ไม่ได้แสดงออกถึงความยอมแพ้ สองมือนั้นยังหวดตีลงไปบนเครื่องดนตรีอย่างโทนแบบต่อเนื่อง เหมือนไร้สิ้นความเจ็บปวด สะท้อนถึงความตั้งใจ และเหนืออื่นใดก็คงเป็นความรักอย่างลึกซึ้ง


นี่ไม่ใช่คอนเสิร์ตของศิลปินรายใด หากเป็นส่วนหนึ่งใน "พิธีกรรมเก่าแก่ดั้งเดิม" ของ "ชาวกวย" ในพื้นที่ หมู่บ้านโพธิ์กระสังข์ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ที่มีชื่อเรียกว่า "พิธีสะเนงสะเอง"


"สะเนงสะเอง" นี้ เป็นหนึ่งในพิธีกรรมที่ชาวกวยมีความเชื่อมาอย่างช้านาน ว่ายามใดที่คนในชุมชนเจ็บป่วย เมื่อรักษาโดยวิธีแพทย์แบบอื่นไม่หายก็จะหันมาพึ่งพาการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกแบบนี้ ด้วยการค้นหาสาเหตุการเจ็บป่วยผ่าน "ล่าม" หรือ "คนทรง" ขอให้คลี่คลายปัญหาการเจ็บป่วยนั้น และหากได้รับคำแนะนำจนหายป่วยดีแล้ว ผู้ป่วยและครอบครัวจะต้องจัดพิธีนี้เพื่อขอบคุณที่ทำให้หายเจ็บป่วย ซึ่งหลายครั้งได้สร้างความฉงน เมื่ออาการป่วยที่ดูสิ้นหนทางรักษานั้น พลันทุเลาขึ้นอย่างประหลาด ซึ่งจะด้วย "สิ่งเหนือธรรมชาติ" หรือเพราะ "แรงศรัทธา" ที่ทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นก็ตาม เมื่อผู้ป่วยหาย ก็ถือเป็นอันใช้ได้


อย่างไรก็ตามจากความเชื่อดังกล่าวนี้ ที่ฝังรากลึกในกลุ่มชาวกวย ซึ่งได้รับการสืบทอดสืบสานผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน แม้คนในชุมชนจะยังคงมีความศรัทธาในเรื่องนี้ แต่ด้วยวิถีชีวิตยุคใหม่ที่ทำให้ลูกหลานต้องห่างไกลบ้านเพื่อไปทำมาหากิน ทำให้พิธีกรรมนี้จึงค่อยๆ เลือนหายไป โดยปัจจุบันมีผู้รู้เหลืออยู่เพียง 3 คนสุดท้าย และล้วนเป็นผู้สูงอายุทั้งสิ้น นี่ย่อมทำให้พิธีกรรมนี้เสี่ยงจะสูญหายไปได้ง่าย แต่ยังโชคดีที่มีเยาวชนบางส่วนเห็นคุณค่า จึงรวมตัวกันเก็บข้อมูลและรวบรวมเรื่องราวของพิธีกรรมนี้ ภายใต้โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ ที่สนับสนุนโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์


'สะเนงสะเอง' มนต์ฟื้นใจ thaihealth


เบียร์-ชนิกานต์ วันนุบล เล่าว่า เพื่อนๆ และเธอ มองว่า พิธีนี้กำลังจะสูญหายไป จึงอยากอนุรักษ์ไว้ โดยเริ่มจากขอความร่วมมือคนในชุมชน และลงพื้นที่สอบถามข้อมูลจากผู้รู้เกี่ยวกับพิธีกรรมนี้ อาทิ คุณตาพรมมา โพธิ์กระสังข์ ที่เชี่ยวชาญการใช้เครื่องดนตรีปี่และแคน, คุณยายกัณหา จันทะสน แม่ครูสะเองและแม่ครูรำ, คุณตาทิพย์ ทองละมุล ผู้รู้ด้านเครื่องดนตรีและการบรรเลงดนตรีประเภทตี และ อดิเรก โพธิสาร ผู้รู้ด้านการประกอบพิธีกรรม โดยเธอบอกว่า หลังลงพื้นที่เก็บข้อมูลพบว่า "พิธีสะเนงสะเอง" นี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ "สะเองเลียง" และ "สะเองโรง" ซึ่งสะเองเลียงคือ การจัดสะเองครั้งแรกและครั้งที่สอง ส่วนสะเองโรงคือ การจัดสะเองครั้งที่สาม หรือการเลี้ยงสะเอง ซึ่งพิธีกรรมนี้ไม่นิยมจัดในช่วงเข้าพรรษา หรือวันพระ และการสืบทอดการประกอบพิธีกรรมมักสืบทอดทางสายเลือด โดยผู้ที่มีเชื้อสายสะเองเท่านั้นจึงจะเป็น "แม่ครู" ได้


สำหรับ "เครื่องดนตรี" ที่ใช้บรรเลงในพิธี หลักๆ ประกอบด้วย โทน 2 ใบ ฆ้อง 1 ใบ และปี่ 1 เลา เมื่อทำการร่ายรำ หรือพิธีเริ่มต้นแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนคนรำและคนเล่นดนตรี แต่จะให้พักกินข้าวตอนเที่ยงคืน หรือหยุดพักชั่วครู่เท่านั้น แล้วจึงเริ่มพิธีต่อไปจนถึงช่วงเช้า เรียกว่าเป็นอีกพิธีกรรมที่ผู้ประกอบพิธีต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลและต้องใช้พลังใจแรงกล้า ทั้งนี้ เครื่องดนตรีนั้นเด็กสาวระบุว่า ปัจจุบันโทนยังหาได้ไม่ยากเพราะใน อ.ขุขันธ์ ยังมีการทำอยู่ แต่ปี่หายากกว่า เนื่องจากปี่ที่ใช้ในพิธีมีรูปแบบเฉพาะ มีชื่อว่า "ปี่แม่มด"มีที่หมู่บ้านนี้แห่งเดียว และขณะนี้มีแค่ คุณตาพรมมา เท่านั้น ที่เป่าปี่และทำปี่ชนิดนี้ได้


ทัด-ธนากร แก้วลอย สมาชิกอีกคนของกลุ่ม เล่าว่า อยากฝึกฝนการเล่นเครื่องดนตรีอย่างโทน จึงขอเรียนรู้ฝึกหัดจากคุณตาพรมมา โดยการตีเครื่องดนตรีชนิดนี้นั้น ต้องจับจังหวะให้ดี เพราะเสียงกลองที่ตีออกมาจะได้เสียงไม่เหมือนกัน โดยขึ้นอยู่กับน้ำหนักและการตวัดมือ โดย ทัด กล่าวว่า "ตีโทนยาก มันจะมีจังหวะพรึ่บๆ โจ๊ะ จังหวะโจ๊ะจะยากตรงต้องใช้สันมือตี ถ้าใช้มือตีทั้งหมดจะได้แค่เสียงธรรมดา ไม่เป็นเสียงโจ๊ะ ผู้บรรเลงต้องมีสมาธิ ทีมเวิร์กก็ต้องดี ดนตรีจึงจะสอดคล้องกัน" เด็กหนุ่มระบุ


'สะเนงสะเอง' มนต์ฟื้นใจ thaihealth


"การรำสะเอง" นั้น ทัด เล่าว่า ท่าทางการรำจะเป็นท่ารำเฉพาะตัว ที่ปู่ย่าตายายรำไว้อย่างไรลูกหลานที่สืบทอดต่อก็จะต้องรำแบบนั้น เปรียบเสมือนมรดก เช่นเดียวกับ "ผ้านุ่งที่สวมใส่ในการรำ" จะเป็นผ้านุ่งผืนเดิมที่ถูกส่งต่อยังผู้สืบทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่า เขาบอกว่า พิธีนี้จะเริ่มตั้งแต่การสืบหาสาเหตุของอาการป่วย ผ่าน "คนทรง" หรือ "ล่าม" ถ้าคนทรงบอกว่า "ผีแถน" เป็นผู้ทำก็จะให้ผู้ป่วยบนบานด้วยการผูกสายสิญจน์ที่ขวดแก้ว พร้อมพูดขึ้นดัง ๆ ว่า "ถ้าหายจะรำให้ดู ถ้าไม่หายจะไม่เล่นให้ดู" เป็นต้น"ตามความเชื่อแล้ว หากเป็นผีแถนทำจริง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และส่วนใหญ่ที่เป็นโรคจากกรณีนี้ จะเป็นไข้ร้อนๆ จะเดินไม่ได้ ต้องนอนอยู่บนเสื่อ และมีความเชื่อกันว่า ถ้าผีแถนทำ จริง ๆ ภายใน 3-4 วัน หลังทำพิธีนี้ ผู้ป่วยก็จะขยับตัวได้ จากนั้นเมื่ออาการดีขึ้นจนหายแล้ว ก็จะต้องจัดพิธีแก้บนขึ้น เมื่อได้วันประกอบพิธีแล้ว จะมีการไปเชิญ แม่ครู หมอโทน หมอปี่ ให้มาช่วยประกอบพิธีให้ โดยครอบครัวผู้ป่วยจะตระเตรียมปะรำพิธีในบริเวณบ้านของผู้ป่วย"ทัด เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมนี้


ขณะที่เรื่องค่าใช้จ่ายในการทำพิธี มีผู้รู้ให้ข้อมูลว่า ยุคปัจจุบันการทำพิธีแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท เฉพาะค่าคนเล่นดนตรี ที่เป็นคนในท้องถิ่นเองก็ไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท แต่ถ้าเป็นคนถิ่นอื่นมาเล่นก็จะประมาณ 7,000 บาทขึ้นไป "ไม่รวมสินน้ำใจที่จะมอบให้ แม่สะเอง ไม่รวมอุปกรณ์ การเลี้ยงข้าว เหมือนทำบุญ บางครั้งเจ้าภาพที่มีฐานะดีจัดแต่ละทีก็เป็นแสน"


นพดล โพธิ์กระสังข์ ผู้ใหญ่บ้าน ระบุว่า การเป็น "สะเนงสะเอง" นั้นไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่มีขั้นตอนและต้องใช้ความอดทนไม่น้อยกว่าจะเป็น "ผู้สืบทอด" ได้ โชคดีที่มีเยาวชนเห็นคุณค่าในการที่จะอนุรักษ์ประเพณีพิธีดั้งเดิมนี้ไว้ เพราะถ้าพิธีนี้สูญหายไป ไม่เพียงจะเป็นการสูญสิ้นพิธีดั้งเดิม แต่เท่ากับการเสียวัฒนธรรมประจำชนเผ่าที่สืบทอดมาแต่โบราณ


และทางด้าน พระครูพิพัฒน์โพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์กระสังข์ ก็บอกว่า โครงการอนุรักษ์นี้เป็นประโยชน์ทั้งต่อชุมชนและเยาวชน คือ ชุมชนได้ผู้สืบทอดวัฒนธรรม ส่วนเยาวชนก็ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเชื่อมร้อยความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนกับชุมชนด้วย ซึ่งถึงแม้ "พิธีสะเนงสะเอง" จะไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนา แต่ก็มีจุดที่ดีเป็นความเชื่อที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่ช่วยให้ผู้หมดกำลังใจมีกำลังใจชีวิตเพิ่มขึ้น

Shares:
QR Code :
QR Code