สสส.และภาคีฯ ลดนักดื่ม-นักสูบต่ำกว่า 20% เป็นครั้งแรก
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
แฟ้มภาพ
สสส.ขับเคลื่อนงานสร้างสุขภาพแนวใหม่ ลดนักดื่ม-นักสูบต่ำกว่า 20% เป็นครั้งแรก
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี สสส.ว่า การที่ สสส.เป็นหน่วยงานที่มีรูปแบบเฉพาะในการดำเนินงาน ต่างจากหน่วยราชการ ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้การเชื่อมประสาน เกิดความคล่องตัวและลดช่องว่างระหว่างหน่วยงาน และภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคราชการเอกชน วิชาการ ประชาสังคม และชุมชนท้องถิ่นได้นำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานประเด็นต่างๆ
โดยเฉพาะความเข้มข้นในการขับเคลื่อนให้เกิดสังคมปลอดบุหรี่ จนสามารถลดอัตราของผู้สูบบุหรี่ในไทยต่ำลงกว่า 20% เป็นครั้งแรก ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการดื่มของคนไทย ที่นิยมดื่มในงานบุญประเพณีต่างๆ หรือการให้เหล้าในช่วงเทศกาลสำคัญ จนสามารถทำให้ภาพรวมปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ต่อหัวประชากรต่อปีลดลงจาก 8.16 ในปี 2549 มาอยู่ที่ 6.95 ลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ต่อคนต่อปี ในปี 2558 หรือลดลงถึง 14.8%, การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนให้สามารถจัดการด้านสุขภาพที่เน้นการใช้พื้นที่เป็นฐานในการพัฒนาจนเกิดตำบลสุขภาวะ กว่า 2,800 ตำบลทั่วประเทศ
"ด้านการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่จุดกระแสความตื่นตัวในวงกว้างภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้มีดำริในที่ประชุมคณะมนตรี (ครม.) ให้หน่วยงานราชการทุกแห่งจัดให้มีกิจกรรมทางกายทุกวันพุธ ซึ่งเป็นผลจากการประชุมนานาชาติว่าด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและสุขภาพ ที่ประเทศไทยโดยสสส. เป็นเจ้าภาพ เป็นเวทีให้ 80 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันประกาศ "ปฏิญญากรุงเทพฯ" เพื่อผลักดันมาตรการเพื่อการมีกิจกรรมทางกาย และปัจจุบันกิจกรรมออกกำลังกายประจำสัปดาห์ ได้ขยายไปสู่องค์กรอื่นทั้งภาคเอกชน และท้องถิ่น ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นตัวเร่งสำคัญไปสู่เป้าหมายระดับชาติในการเพิ่มจำนวนคนไทยที่มีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอหรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ ให้ได้ 80% ของประชากรในปี 2564" พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว
พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวว่า สสส. เป็นกองทุนสร้างเสริมสุขภาพจากภาษีบาปที่ได้รับยอมรับในระดับนานาชาติ โดยองค์การอนามัยโลก ยกให้ สสส. เป็นต้นแบบของกลไกการเงินเพื่อสร้างเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืนประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียใต้ – ตะวันออก(South-East Asia Region) รวมทั้งสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ จัดตั้งองค์กรเช่นเดียวกับ สสส. อย่างจริงจัง ซึ่ง สสส. มีส่วนสนับสนุนการเกิดกองทุน สสส. ในหลายประเทศเช่น มาเลเซีย, มองโกเลีย, ลาว, เวียดนามเป็นต้น อีกทั้งผลงานที่ผ่านมาเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ เพียงเฉพาะด้านการสื่อสารรณรงค์ได้รับรางวัลระดับประเทศและสากลกว่า 250 รางวัล
ด้าน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า หากเปรียบสสส. เป็นต้นไม้ ถึงวันนี้ถือว่าได้เติบโต ผ่านประสบการณ์เรียนรู้มาหลายฤดู ตลอด 15 ปีของการทำงาน สสส. เกิดผลงานที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางสังคม เช่น ร่วมมือกับภาคีขยายเครือข่ายสร้างสังคมไทยไร้ควันบุหรี่ด้วยการสนับสนุนกฎหมายด้านควบคุมยาสูบต่างๆ และการบังคับใช้ รวมถึงพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้ จนไปถึงการสื่อสารสาธารณะสร้างความตระหนักทางสังคมด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกิดการผลักดันกฎหมาย/ นโยบายเกี่ยวกับการควบคุมแอลกอฮอล์และเป็นวาระแห่งชาติ ทั้ง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551, แผนยุทธศาสตร์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ พ.ศ.2552 – 2562 การเปิดพื้นที่ "ปลอดเหล้า" ตามงานบุญประเพณีงานเทศกาลต่างๆ ทั่วประเทศทำให้ภาพรวมปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชากรไทยลดลงจึงถือว่าการทำงานของ สสส. เป็นมูลค่าเพิ่มที่ประชาชนได้จากองค์กรลักษณะนี้
การนำภาษีบาป เช่น เหล้า บุหรี่ที่แยกต่างหากจากภาษีปกติ มาใช้สร้างสุขภาพแนวใหม่ แม้เงินที่เพิ่มเข้ามาจะคิดเป็นเพียง 0.7% ของค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านสุขภาพ แต่สามารถช่วยให้เกิดกระบวนการที่แก้ไขต้นเหตุของปัญหาสุขภาพอันได้แก่การดูแลปัจจัยเสี่ยง กระตุ้นการตื่นตัวของประชาชนในการดูแลตัวเอง เกิดองค์ความรู้ และกลไกทางสังคมร่วมไปกับภาครัฐ มีกติกาต่างๆ กระบวนการเสริมสร้างความรู้เท่าทัน เกิดการสร้างสุขภาพกว้างขวาง และเกิดผลลัพธ์จำนวนมาก ดังนั้นในก้าวต่อไปของ สสส.จะเน้นความเป็นมืออาชีพด้านการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อเสริมศักยภาพให้ประชาชนพึ่งตัวเองมากขึ้น สามารถปรับวิถีชีวิตตนเองเพื่อเอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีพร้อมขยายงานด้านต่างๆ ทั้งเชิงระบบองค์กร ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้น