สสส.จับมือพฤกษาฯ จัดบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติในหลวง
เรื่องโดย : team content www.thaihealth.or.th
สสส.จับมือพฤกษาฯ จัดบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 84 พรรษา รองผู้จัดการ สสส.ชี้เป็นการสร้างจิตสาธารณะเพื่อสุขภาวะทางสังคม
เมื่อวันที่ 23 ก.พ.54 ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และสภากาชาดไทย จัดบริจาคโลหิตเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 84 พรรษา โดยมีพนักงานและเจ้าหน้าที่ของ สสส. และบริษัทพฤกษาฯ เข้าร่วมบริจาคจำนวนมาก ทั้งนี้ ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ รองผู้จัดการ สสส.และ รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สสส. เข้าร่วมด้วย
ดร.สุปรีดา กล่าวว่า การบริจาคโลหิตนอกจากจะเป็นการให้เพื่อผู้อื่นแล้ว ข้อดีสำหรับผู้บริจาคโลหิตคือได้ตรวจร่างกาย เพราะในการบริจาคโลหิตแต่ละครั้ง จะต้องวัดความดัน ตรวจเม็ดเลือด นอกจากนี้ผู้บริจาคยังต้องดูแลตนเองเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จึงจะบริจาคโลหิตได้
“การบริจาคโลหิตที่เป็นการให้ถือเป็นการสร้างสุขภาวะทางใจ เพราะเราให้เลือดของเราเองเพื่อไปช่วยเหลือผู้อื่นที่เราไม่รู้จัก เป็นการสร้างจิตสาธารณะ ซึ่งจะช่วยให้เกิดสุขภาวะทางสังคมขึ้นในสังคมไทย”ดร.สุปรีดากล่าว
นางสุกัญญา พัฒนแก้ว ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปกติบริษัทพฤกษาฯ จะจัดให้มีการบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2548 โดยปีนี้ถือเป็นปีแรกที่ สสส.เข้ามาร่วมกับบริษัทพฤกษาฯ และคาดว่าจะร่วมมือกันในครั้งต่อไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับการรับบริจาคครั้งนี้ตั้งเป้าไว้ประมาณ 150 ถุง ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะได้เกินเป้าหมาย เพราะที่ผ่านมาก็มีพนักงานให้ความสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก อย่างไรก็ตามอยากฝากเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมบริจาคโลหิต เพราะถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่ เพราะเลือดที่บริจาคมานั้นก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ให้กับผู้ที่ต้องการได้อีกด้วย
ด้าน นางชูใจ ใจเอื้อ พยาบาลประจำการ และหัวหน้าหน่วยศูนย์บริจาคโลหิต สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปกติสภากาชาดไทยจะออกหน่วยรับบริจาคเป็นประจำทุกวัน วันละ 6-9 หน่วยกระจายไปตามพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยในแต่ละวันสภากาชาดไทยมีความต้องการเลือดที่ได้รับบริจาคจำนวนมาก ในทุกกรุ๊ปเลือด เพื่อรองรับกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วย ที่ต้องมีการกระจายไปตามสถานพยาบาลที่ต้องการ และแม้ว่าจะมีการเปิดรับบริจาคอยู่ในทุกวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยปัจจุบันมีผู้มาบริจาคประมาณ 1,000-1,200 ราย ขณะที่ความต้องการอยู่ที่ 1,500 ราย หรือคิดเป็นปริมาณเลือด 45,000 ยูนิตต่อเดือน อย่างไรก็ตามการบริจาคเลือดนั้นถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก ทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ ในส่วนของผู้ให้เองก็ถือเป็นการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ อีกทั้งยังทำให้ผู้บริจาคเองต้องดูแลสุขภาพ ลดภาวะเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนในการบริจาคทุกครั้งต้องมีการตรวจสุขภาพร่างกาย ซึ่งก็ทำให้ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคความดันโลหิตหรือภาวะโลหิตจางหรือไม่
นางชูใจ กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตควรจะต้องปฏิบัติตามกฎที่สภากาชาดไทยกำหนดไว้ โดยมีเกณฑ์ว่าผู้ที่สามารถบริจาคได้ต้องมีอายุตั้งแต่ 17 ปีบริบูรณ์ และมีใบอนุญาตจากผู้ปกครอง ส่วนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ต้องไปบริจาคที่ศูนย์บริจาคโลหิตเท่านั้น เพื่อตรวจวัดค่าความเข้มข้นของเลือดอย่างละเอียด สำหรับการปฏิบัติตนหลังจากบริจาคเลือดแล้วต้องงดเล่นกีฬา 1 วัน , ดื่มน้ำบ่อยๆ , รับประทานยาธาตุเหล็กที่เจ้าหน้าที่มอบให้หลังบริจาคจนครบ เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง และการรับประทานในมื้อปกติควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ งาดำ เต้าหู้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้ที่สนใจจะไปบริจาคเลือด สามารถไปบริจาคได้ที่สภากาชาดไทย ทุกวัน โดยวันทำการปกติ เปิดตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น.ยกเว้นวันอังคารและพฤหัสบดี เปิดตั้งแต่เวลา 07.30-19.30 น. วันหยุดเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.30-15.30 น.