สสค.เล็งวิจัย ต้นทุนแห่ง ‘โอกาส’ ลดความเหลื่อมล้ำของเด็กขาดโอกาส
ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นปัญหาเรื้อรังที่สะท้อนถึงความแตกต่างใน “โอกาส” ของการเข้าถึงบริการทางสังคมที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง
ปัจจุบันมีเด็กเกือบ 1 ใน 5 ที่กำลังหลุดหายไปจากระบบการศึกษา ซึ่งในปี 2551 จำนวนนักเรียนที่อยู่ในระบบการศึกษาไทย อยู่ที่ 11,743,672 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 79 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในกลุ่มอายุ 3-17 ปี ที่มีอยู่ 14,911,762 คน ทำให้มีเด็กที่หายไปจากระบบการศึกษาไทย ร้อยละ 21 (3,168,090 คน) หรือ เกือบ 1 ใน 5 ของประชากรเด็ก เยาวชนไทยทั้งระบบ
จากการสำรวจสถาบันรามจิตติ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลทั้งจากภาครัฐ และหน่วยงานเอกชน พบว่า มีจำนวนกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ยังขาดโอกาสทางสังคมที่หลุดออกจากระบบการศึกษา และเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยงของการหลุดออกจากระบบการศึกษา ประมาณ 5 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ในประเทศไทย
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร ในการศึกษาวิจัยและจัดทำชุดสวัสดิการพื้นฐาน การประมาณการค่าใช้จ่ายรายหัว และฐานข้อมูล เพื่อการดูแลเด็กด้อยโอกาสนอกระบบและเด็กกลุ่มเสี่ยงในระบบการศึกษา
นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการสสค. หนึ่งในผู้ริเริ่มศึกษาวิจัยระบบประกันสุขภาพ จนเป็นที่มาของ “30 บาทรักษาทุกโรค” เล่าว่า จากตัวเลข 1,206 บาทต่อคน สำหรับบริการสุขภาพ โดยมีการวิจัยค่าเฉลี่ยจากค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอกว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ เพื่อโรงพยาบาลไม่แบกรับภาระ ซึ่งในขณะนั้นมี นพ.ศุภสิทธิ์ และอาจารย์อัมมาร สยามวาลา ร่วมกันคิดคำนวณ ในที่สุดก็มีระบบ drg ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่ม/หัวตามภาวะการป่วย ซึ่งต้องมีการใช้ข้อมูลที่มากและมีความเที่ยงตรงมากกว่าระบบรายหัว
“วันนี้จึงร่วมกับนพ.ศุภสิทธิ์ อีกครั้งในการทำค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของเด็กแต่ละกลุ่ม เช่น เด็กพิการ เด็กชนบทห่างไกล เด็กเร่ร่อนตามที่ต่าง ๆ ว่าแต่ละกลุ่มหากมีระบบการช่วยเหลือดูแลที่พอเหมาะจะมีค่าใช้จ่ายรายหัวเท่าไหร่ ดังนั้นจึงต้องเริ่มจากโจทย์แรกที่ว่า เราต้องดูแลเด็กในแต่ละกลุ่มอย่างไรบ้าง การศึกษาวิจัยครั้งนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ เด็กแต่ละกลุ่มความจำเป็นที่ต้องดูแลคืออะไรบ้าง นั่นคือสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่เด็กควรได้รับ และส่วนที่ 2 คือ การนำไปสู่การคิดคำนวณว่าถ้าต้องดูแลแล้ว ค่าใช้จ่ายต่อหัวเท่าไหร่ ซึ่งจะเป็นคำตอบของการช่วยเหลือดูแลเด็กในแต่ละประเภทว่าต้องการสนับสนุนอะไร งบประมาณที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมสามารถทำได้”
ศ.ดร.นพ.ศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัย ศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร เล่าถึงความแตกต่างของการคิดต้นทุนแห่งโอกาสของเด็กที่ขาดโอกาส แตกต่างจากการคิดต้นทุนของระบบประกันสุขภาพว่า ระบบบริการสังคมส่วนใหญ่จะใช้เวลากับในบ้านและชุมชนมากกว่า ขณะที่ระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยจะมาที่โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งข้อมูลที่ต้องใช้คือ เราจะรู้ความพิการเมื่อไหร่ ถ้าเป็นเด็กกลุ่มอื่น เช่น แม่วัยรุ่นเราเริ่มรู้เมื่อไหร่ ใครเป็นคนรู้ และคนที่รู้จะเข้ามาอยู่ในระบบของการลงทะเบียนอย่างไร จะมีแรงจูงใจอย่างไรให้เข้ามาอยู่ในระบบลงทะเบียน และใครจะเป็นคนทำ เมื่อลงทะเบียนแล้วจะเป็นการส่งต่อไปยังกิจกรรมที่เรามี ซึ่งเรียกว่า “สิทธิประโยชน์” โดยต้องดูว่าใครเป็นผู้ให้
“ในการศึกษาความหลากหลายของแต่ละพื้นที่ก็จะต่างกัน เช่นใน 3 จังหวัดภาคใต้ ระบบบริการก็จะไม่เหมือนกัน ส่วน จ.แม่ฮ่องสอน คือความเป็นพื้นที่ห่างไกล ขณะที่ในเมือง พ่อแม่ที่ยากจนเราควรจะเพิ่มระดับการเข้าถึงได้อย่างไร ดังนั้นต้นทุนของแต่ละแห่งจึงมีความเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน”
พื้นที่เริ่มต้นของการศึกษาวิจัยคือ จ.แม่ฮ่องสอน โดยมุ่งศึกษาในกลุ่มเด็กในพื้นที่ชนบทห่างไกล เด็กไร้สัญชาติ เด็กยากจนพิเศษ และเด็กพิการทางร่างกายและสมอง โดยการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้ร่วมกับคณะกรรมการเพื่อการคัดเลือกครูสอนดีและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนจากภาครัฐ และภาคท้องถิ่นที่หลากหลาย
นายนิพนธ์ คำภา อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน รองประธานคณะกรรมการคัดเลือกครูสอนดีฯ เล่าว่า แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดในเขตภาคเหนือที่ยากจน เพราะมีจำนวนครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อปีจำนวนมาก และสภาพการเดินทางที่ยากลำบาก เด็กที่ยากจนจึงอยากเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และราชประชานุเคราะห์กันมาก เพราะเป็นโรงเรียนกินนอนและศึกษาฟรี การเรียนการสอนจึงต้องสอนให้เด็กสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่สอนเพื่อศึกษาต่อ แม่ฮ่องสอนแม้จะเป็นเมืองอาภัพทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำจากความเป็นเมืองชายขอบ แต่ก็สามารถพลิกเป็นโอกาสได้ เพราะเราอยากให้จังหวัดเป็นเมืองแห่งปัญญาด้วยการจัดงานสมัชชาการศึกษาทุกครั้งให้เหมือนกับงานบุญประเพณีเพื่อเป็นค่านิยมใหม่ของจังหวัด
“วิธีการหลุดออกจากระบบการศึกษาของเด็กอย่างหนึ่งคือ ประเพณีวัฒนธรรมของชนเผ่าหนึ่งซึ่งมีมาช้านานด้วยการฉุด ซึ่งถือเป็นความชอบธรรมของการขอแต่งงาน แม้ว่าฝันของเด็กสาวคือ อยากเป็นนางพยาบาลเพื่อมารักษาพ่อแม่ แต่ประเพณีการฉุด ก็กลายเป็นความกดดันของเด็กวัยรุ่นในยุคนี้ มีเด็กหญิงจากชนเผ่าหนึ่งมาคุยกับดิฉันว่า ไม่ต้องการให้มีประเพณีนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกฉุด ซึ่งพ่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะตั้งครอบครัวมาด้วยวิธีนี้เหมือนกัน” อ่อนศรี ศรีอัมพร ประชาสัมพันธ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน สะท้อน
การจัดทำชุดความรู้เกี่ยวกับชุดสวัสดิการพื้นฐานในการดูแลเด็กด้อยโอกาส การประเมินต้นทุนต่อหัวในการดูแลเด็กด้อยโอกาสแต่ละกลุ่ม และการจัดทำฐานข้อมูลสารสนเทศเพื่อการดูแลเด็กด้อยโอกาส นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การช่วยเหลือดูแลให้บังเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมในทุกท้องถิ่น
ที่มา: สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน