สวยระวัง ‘ฟิลเลอร์หมอกระเป๋า’ ทำตาบอด
ที่มา : มติชน
แฟ้มภาพ
การพึ่งพาเทคโนโลยีด้านศัลยแพทย์ในการเข้ามาช่วยสร้างเสริมความงามบนเรือนร่างยังเป็นแนวทางที่ได้รับ ความนิยมไม่เสื่อมคลาย เนื่องจากสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ยุคใหม่ที่นิยมความสะดวกและรวดเร็ว
การฉีดฟิลเลอร์ ก็ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงด้านการเสริมความงามของคนยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เนื่องจากเห็นผลในระยะเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอย่างมากคือ ความปลอดภัย เพราะการเติมสารเคมี ซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายจำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะด้าน มิเช่นนั้น อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงมากมายแบบได้ไม่คุ้มเสีย
โดยปกติผิวหนังมีส่วนประกอบสำคัญ คือ ใยคอลลาเจนและสารไฮยาลูโรนิก ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผิวหนังแข็งแรงและยืดหยุ่น และมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ดังนั้น ผู้ที่มีสารสองชนิดนี้มีหน้าที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง แต่เมื่อเข้าสู่วัยชรา ใยคอลลาเจนและไฮยาลูโรนิกจะค่อยๆ มีปริมาณลดลง ผิวหนังจึงบางลง เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นตามมา จึงมีการพัฒนาสารฟิลเลอร์ หรือ Filler ที่มีคุณสมบัติเดียวกับใยคอลลาเจนและสารไฮยาลูโรนิกมาฉีดเข้าไปใน ผิวหนัง เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื่นและ คืนความกระชับให้ผิวหนังนั่นเอง
ชนิดของฟิลเลอร์ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.แบบชั่วคราว (Temporary Filler) ที่มีอายุการใช้งานประมาณ 4-6 เดือน มีความปลอดภัยสูง และสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ 2.แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) เช่น ซิลิโคน หรือ พาราฟิน เป็นสารที่ฉีดแล้วจะอยู่ในผิวหนังแบบถาวร ไม่สลายไปตามธรรมชาติ แต่การใช้สารทั้งสองประเภทนี้มักพบผลข้างเคียงในระยะยาว แพทยสภา จึงมีประกาศห้ามใช้ฟิลเลอร์ชนิดถาวรอย่างเด็ดขาด
ปัจจุบัน ฟิลเลอร์ ได้รับความนิยมไม่เพียงแต่ในการรักษาผิวพรรณที่มีปัญหา ริ้วรอยของผิวอันเนื่องมาจากวัยเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปใช้ในหมู่วัยรุ่นที่ต้องการเพิ่มความเต่งตึง กระชับ และปรับรูปหน้าตามรสนิยมของยุคสมัยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้สารชนิดนี้จะมีโอกาสก่ออันตรายได้น้อย แต่ขั้นตอนการฉีดต้องอาศัยแพทย์เฉพาะด้านที่มีประสบการณ์ มิเช่นนั้นอาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น ทำให้ตาบอด หรือแขน ขาอ่อนแรง เนื่องจากเกิดการผิดพลาดทำให้สารถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือดหล่อเลี้ยงลูกตา หรือเส้นประสาทบนใบหน้าได้
พญ.มาริษา พงศ์พฤฒิพันธ์ สาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม้จะฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ เนื่องจากเส้นเลือดบนใบหน้าของแต่ละคนมีความซับซ้อนแตกต่างกัน และมีการ กระจายตัวของเส้นเลือดต่างกัน ซึ่งมีคนจำนวนหนึ่งที่เส้นเลือดกรอกเข้าตา ดังนั้น ดั้งจมูกจึงเป็นบริเวณต้องห้ามที่แพทย์ไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ ด้วยเหตุนี้เอง สมาคมแพทย์ผิวหนัง จึงเน้นย้ำให้ผู้บริโภคคำนึงถึงความสำคัญของผู้ทำหน้าที่ฉีดสารเติมเต็ม โดยบุคคลเหล่านี้ต้องมีความรู้เรื่องกายวิภาคศาสตร์ และได้รับการอบรมในด้านนี้โดยตรง และต้องคำนึงว่า คลินิกที่ให้บริการมีอุปกรณ์ที่สะอาดพอ และมีเครื่องมือช่วยเหลือหากเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่ อีกหนึ่งข้อแนะนำในการเสริมความงามประเภทนี้คือ ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเติมเต็มที่มาจากคนละกลุ่ม เนื่องจากอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ต่อต้านกันของสารที่ต่างกัน
ด้าน ผศ.พญ.รัชต์ธร ปัญจประทีป สาขาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ข้อแนะนำในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์สามารถพิจารณาได้ง่ายๆ โดยการมองหาเครื่องหมายรับรอง อย. และบาร์โค้ดผลิตภัณฑ์ของฟิลเลอร์ที่สามารถค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การค้นหาข้อมูลแพทย์ผู้ให้บริการว่า มีความน่าเชื่อถือเพียงใด เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ชี้ว่า ที่ผ่านมาอันตรายส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากผู้ให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์ทำให้เสี่ยงต่อ การเกิดอันตรายมากกว่าปกติหลาย เท่าตัว รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ปลอมที่มีราคาถูก สององค์ประกอบนี้เองที่ก่อให้การฉีดฟิลเลอร์โดย "หมอกระเป๋า" ในราคาที่ต่ำอย่างผิดปกติ ซึ่งล่อตาล่อใจผู้บริโภคที่อยากสวย แต่ไม่คำนึงถึงความผิดพลาดต่ออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง
"การดูแลสุขภาพผิวให้ดี ไม่ได้มีเพียงแค่การใช้สารเติมเต็ม หรือศัลยกรรมเท่านั้น วิธีง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้เพียงทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้านตอนกลางวัน ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ทานอาหาร พักผ่อน และออกกำลังกายอย่างถูกต้อง ก็เป็นวิธีการดูแลผิวพรรณง่ายๆ ที่หลายคนทราบและได้ผลในระยะยาวเช่นกัน" ผศ.พญ.รัชต์ธร กล่าวในตอนท้าย