สวมหมวกกันน็อก ปลอดภัย สวมหน้ากากผ้า/ หน้ากากอนามัย ปลอดโควิด-19
เรื่องโดย ฐิติพร โยทาพันธ์ Team Content www.thaihealth.or.th
ภาพโดย ชยวี ลิ้มถาวรรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
“ออกไปข้างนอกบ้านแค่นี้ ใกล้ๆ ไม่ต้องใส่ก็ได้หมวกกันน็อก ไม่น่าจะมีตำรวจหรอก”
“นั่งรถไปหน้าปากซอยแค่นี้ ต้องสวมหมวกกันน็อกด้วยเหรอ เส้นทางนี้ใช้จนชินแล้ว”
รู้หรือไม่ คำว่า “ใกล้ ๆ แค่นี้เอง ” อุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตของเราเช่นกัน เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรที่อยากทำ เพราะคำว่า “ใกล้ๆ แค่นี้” อีกต่อไป
การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น เพราะในทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิต 2 คน ดังนั้น การสวมหมวกกันน็อก ก็สำคัญ ไม่แพ้กับการสวมแมสก์ป้องกันโควิด-19 ในขณะเดียวกันอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละวันที่มีสาเหตุมาจากการไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่แพ้กับผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เช่นกัน
การสวมแมสก์ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 ได้ ในขณะเดียวกันการสวมหมวกกันน็อกก็ช่วยป้องกันไม่ให้ศีรษะได้รับความรุนแรงจากอุบัติเหตุได้เช่นกัน เป็นคำกล่าวของ นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. ที่ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญเรื่องของการสวมหมวกกันน็อก ว่า ถึงแม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อก่อนจะสังเกตว่าคนทั่วไปไม่ต้องใส่แมสก์กันเลย จะมีเพียงคุณหมอ พยาบาล ในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ทุกวันนี้เวลาเดินตามท้องถนนหาไม่เจอเลยว่าใครไม่ใส่แมสก์บ้าง ในขณะที่อุบัติเหตุทางท้องถนนส่วนใหญ่เกิดจากรถจักรยานยนต์และไม่สวมหมวกกันน็อก เป็นประเด็นสำคัญที่อยากจะหยิบยกมาว่า ในสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนได้ เราก็เชื่อว่าคนไทยจะมีความปลอดภัยทางถนนด้วยสวมหมวกกันน็อกให้ครบ 100 % ได้เช่นกัน
“อุบัติเหตุทำให้คนเสียชีวิตมากกว่าปีละ 20,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตที่เยอะมาก สสส. ต้องเข้ามาอุดช่องว่างในการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ พยายามเข้ามาเชื่อมประสาน ผลักดัน หนุนเสริม โดยเน้นการขับเคลื่อนข้อมูลวิชาการที่สำคัญ และสนับสนุนให้มีศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนนขึ้นมาเป็นหลักในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ในขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายนักวิชาการที่ สสส. มีในทุกจังหวัด เรียกชื่อง่าย ๆ ว่า พี่เลี้ยง สอจร. หรือ คณะทำงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) และตำรวจภูธรภาค 4 จัดตั้งอาสาสมัครจราจรหญิง ที่เรียกกันว่า “กองร้อยน้ำหวาน” ซึ่งมีภารกิจในการช่วยสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความสงบเรียบร้อยในชุมชน โดยเฉพาะภารกิจเรื่องการดูแลการใช้รถใช้ถนนของคนในชุมชนให้ปลอดภัย” นางสาวรุ่งอรุณ กล่าว
ทางด้าน พล.ต.ต. อานนท์ นามประเสริฐ ผู้รับผิดชอบโครงการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ตำรวจภูธรภาค 4 และหัวหน้า สอจร. ภาคอีสานตอนบน กล่าวว่า ในนามของ สอจร. ภาคอีสานตอนบน แต่ละจังหวัด ในฐานะตำรวจคิดว่าการบังคับใช้กฎหมายจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ อาจไม่ถึงขั้นติดคุก แต่การจับและปรับ ก็สามารถทำให้คนกลัว แต่กลับพบว่า ยิ่งทำไป ยิ่งมากขึ้น ต้องยอมรับว่าประชาชนยอมรับการบังคับใช้กฎหมายค่อนข้างน้อย อย่างเช่น การจับแล้วปรับ 100 บาท บนถนนสายหลัก แน่นอนว่าคนที่อยู่ในเมืองมีศักยภาพในการจ่ายได้ แต่ชาวไร่ชาวนานั้นปรับ 100 บาท ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขา
พล. ต. ต. อานนท์ กล่าวต่อว่า การทำงานในแต่ละพื้นจะมีวิธีที่แตกต่างกันไป เพราะแต่ละพื้นที่ พฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนไม่เหมือนกัน จึงทำให้แผนการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนแตกต่างกันไป จากสถิติพบว่า 70-80 % อุบัติเหตุเกิดจากการไม่สวมหมวกกันน็อก ในขณะเดียวกันคนในชุมชนไม่ค่อยรับรู้ถึงข้อเสียของการไม่สวมหมวกกันน็อก ทำให้พบว่าการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน บังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอ
แม้จะแค่ปากซอยบ้าน หรือแค่เส้นทางที่คิดว่าใกล้ ๆ ก็อย่าได้ประมาทใจไป เพราะรู้หรือไม่ว่า จากสถิติของคนที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ มากกว่าครึ่งล้วนเกิดขึ้นภายในรัศมีเพียง 5 กิโลเมตร จากที่พักเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงความสำคัญของการสวมหมวกกันน็อก ก็เปรียบเหมือนกันการสวมหน้ากากป้องกันโควิด-19 มาดูกันว่า “การสวมหมวกกันน็อก” ช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุได้อย่างไรบ้าง
ลดความรุนแรงการบาดเจ็บที่ศีรษะ 72 %
ลดการบาดเจ็บที่ศีรษะ 50 %
ลดความเสี่ยงการเสียชีวิต 39 % (กรณีที่ความเร็วไม่สูง)
เหตุความสูญเสียที่เกิดจากการไม่สวมหมวกกันน็อก ทำให้ สสส. ได้เห็นความสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง จึงร่วมมือกับภาคีเครือข่ายสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยทางถนนในชุมชน รวมทั้งการผลักดันให้ ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และสิ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 คือ สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างทางสังคม ไม่ปกปิดข้อมูล เพื่อความปลอดภัยและห่างไกลโควิด-19