สวมหน้ากากเข้าหากัน!!
ลดเสี่ยงติดเชื้อ-แพร่โรคถึง 80%
กว่าที่กระแสผ้าปิดปากจะฮิตครองเมืองได้อย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลย เพราะสังคมไทย มักมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น จึงต้องมีการรณรงค์อย่างหนักเพื่อให้เกิดกระแสตื่นตัวขึ้นมา
สุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ในฐานะเจ้าของแคมเปญผ้าปิดปาก อธิบายเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่เกิดขึ้นเร็วมาก เพราะอยู่ๆ ก็เกิดการะระบาดไข้หวัด 2009 ขึ้นมาในประเทศไทย โดยที่ไม่ใครคาดคิดมาก่อน และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เธอและทีมงานจึงมานั่งคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี
หลังจากคิดไปคิดมา ในที่สุดที่ประชุมก็สามารถแตกยอดความคิดได้ออกมาเป็น 2 แนวทางให้เลือกทำ คือการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่กระจายแก่ประชาชน หรือไม่ก็เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน และเมื่อพิจารณาถึงความเร่งด่วน สุดท้ายแล้ว ทีมงานก็เลือกประเด็นที่ 2 ขึ้นมาทำก่อน เพราะเห็นว่าเรื่องแรก สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ขณะที่เรื่องการป้องกัน ถึงแม้จะมีการเสนอข่าว แต่ประชาชนก็ยังไม่เห็นความสำคัญ เพราะฉะนั้นทาง สสส. เองก็น่าจะตอกย้ำประเด็นเหล่านี้ลงไป เพื่อให้เกิดปฏิบัติอย่างจริงจัง
สำหรับวิธีป้องกันที่ทีมงานเลือกมานั้น ก็คือการส่งเสริมให้ผู้ป่วย ‘ใช้ผ้าปิดปาก’ เพราะจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าการใช้ผ้าปิดปากสามารถลดการแพร่เชื้อลงได้ถึง 80% ลงทีเดียว และที่สำคัญทางทีมงานก็มีความตั้งใจจะสร้างค่านิยมหรือวัฒนธรรมใหม่ให้แก่สังคมว่า หากใครที่เป็นหวัดหรือรู้สึกว่าตัวเองกำลังป่วย ก็ควรจะใช้ผ้าปิดปาก เพราะนอกจากเป็นมารยาทที่ดีแล้ว ยังสามารถช่วยการอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่นได้ด้วย
“เราอยากเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยในเรื่องนี้ คือเราต้องการให้เรื่องผ้าปิดปากนั้นเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรปฏิบัติ โดยเฉพาะเวลาที่ป่วย เพราะว่าหลายๆ คนเวลาไอหรือจาม ก็มักจะมือปิด ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้อันตรายมาก เนื่องจากการทำแบบนี้อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อต่อไป เพราะเวลาไอเสร็จ เราก็ยังต้องเอามือไปหยิบโน้นหยิบนี่ต่ออีก แต่ถ้ากะทันหันมากแล้วคุณไม่มีผู้ปิดปากก็ขอให้ใช้แขนเสื้อ เพื่อให้เชื้อโรคไปอยู่ในตำแหน่งนั้นแทน”
สุพัฒนุช อธิบายต่ออีกว่า ที่ผ่านมา ทาง สสส. ได้พยายามเผยแพร่แนวทางการป้องกันโรคไปสู่วงกว้างมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสื่อสำหรับเด็ก อย่างโปสเตอร์ และการ์ตูนอนิเมชัน สื่อสำหรับผู้ใหญ่อย่างสปอตรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์ รวมทั้งยังมีการส่งเอกสารเผยแพร่ไปตามโรงเรียน สถาบันการศึกษา สื่อเคเบิลท้องถิ่น สื่อวิทยุท้องถิ่น ให้ช่วยกันรณรงค์ในประเด็นนี้
“โครงการล่าสุดที่เรากำลังจะทำ และน่าจะเสร็จภายในอาทิตย์หน้า ก็คือการผลิตตัวอย่างผ้าปิดปากที่มีลวดลาย หรือดีไซน์เก๋ไก๋ เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกอยากใช้มากขึ้น ใส่แล้วรู้สึกสนุกสนาน ไม่อายใคร แต่การผลิตครั้งนี้ เราไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปแจกเยอะๆ นะ แต่เราอยากให้ผู้ผลิตสามารถเอาไอเดียตรงนี้ไปผลิตได้ต่อ”
สำหรับประเด็นเรื่องราคาที่อาจะถีบตัวสูงขึ้น สุพัฒนุช กล่าวว่าหากเป็นจริงก็คงไม่ถูกต้องและไม่เห็นด้วยที่บริษัทเหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ตรงนี้ แต่โดยส่วนตัวมองว่า เมื่อเกิดการระบาดขึ้น ก็น่าจะมีผู้ผลิตเข้ามาทำตลาดตรงนี้มากขึ้น มีการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าถูกลงมากกว่า
ด้านนพ.วิชัย เดชะทัตตานนท์ แผนกสร้างเสริมสุขภาพประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 ได้ให้คำแนะนำการใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า การใส่หน้ากากอนามัยสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดหวัดได้จริง และจากงานวิจัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า การใส่หน้ากากอนามัยสามารถลดการแพร่กระจายของอณูเล็กๆ ประเภทน้ำมูก เสมหะจากการไอ จาม พูดเสียงดัง และน้ำลาย (Droplets) ที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนได้ถึงร้อยละ 80
หน้ากากอนามัยที่ขายอยู่นั้นมีอยู่หลายประเภท แต่หน้ากากประเภทที่ใช้ในห้องผ่าตัด (Surgical Mask) น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันหวัดได้ดี เพราะหน้ากากประเภทนี้สามารถกรองอนุภาคได้ 5 ไมครอน (เสมหะและน้ำลายมีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน) อีกทั้งยังมีราคาถูกและสามารถใส่ได้สบายกว่าโดยไม่อึดอัด และควรใส่ทุกครั้งที่อยู่ในที่สาธารณะที่มีบริเวณจำกัด
โดยเฉพาะสถานที่ที่เป็นห้องปรับอากาศ เช่น บนเครื่องบิน รถโดยสาร ห้องเรียน ออฟฟิศ โรงภาพยนต์ โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ออกกำลังกายที่เป็นห้องปิด เป็นต้น เพราะเชื้อโรคนั้นสามารถแพร่กระจายได้ในรัศมี 3 ฟุต และสามารถใช้หน้ากากอนามัยได้ 3 วัน แต่ในช่วงที่มีการแพร่กระจายของโรค ขอแนะนำว่าควรที่จะเปลี่ยนทุกวันหรือเมื่อชำรุด ปนเปื้อน
ใส่หน้ากากอย่างถูกวิธี ดังนี้
1. เอาด้านที่มีสีเข้มออกด้านนอก
2. สวมให้พอดีกับหน้าหรือสันจมูก
3. ให้ด้านที่เป็นโลหะอยู่บนสันจมูก
4. หน้ากากต้องคลุมบริเวณจมูก ปาก และคาง
5. กดโลหะให้แนบสนิทกับสันจมูก
6. สายรัดควรจะพอดีเมื่อคล้องไปที่หู
ทั้งนี้ นพ.วิชัย ยังให้คำแนะนำในการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไว้ว่า โรคนี้ติดต่อกันทางเสมหะและน้ำลาย ฉะนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการไอ จาม รดกัน หรือทานอาหารร่วมกับผู้ป่วย และต้องล้างมืออย่างถูกวิธีสม่ำเสมอ หรือทุกครั้งที่มือต้องสัมผัสกับสิ่งของสาธารณะ เพราะมือเราที่ไปสัมผัสกับสิ่งเปื้อนเสมหะหรือน้ำลายผู้ป่วย จะเข้าสู่ร่างกายโดยการจับบริเวณปาก, แคะจมูกหรือขยี้ตา
ฉะนั้น การล้างมือบ่อยๆ จึงช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ
หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์
Update 20-07–52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก