สวดมนต์ข้ามปียลโลหะปราสาท
ที่“วัดราชนัดดารามราชวรวิหาร”
ในช่วงค่ำคืนรอยต่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ก้าวเข้าสู่พุทธศักราชใหม่ 1 มกราคม 2554 วัดหลายๆ แห่งทั่วทั้งประเทศไทยมีกิจกรรมดีๆ ให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันปฏิบัติในคืนส่งท้ายปี นั่นคือ “สวดมนต์ข้ามปี เริ่มต้นดี ชีวิตดี ในปีใหม่”
สำหรับค่ำคืนดังกล่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และช่อง 9 จัดถ่ายทอดสด เคาท์ดาวน์ธรรม สวดมนต์ข้ามปีฯ จากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และวัดราชนัดดารามวรวิหาร โดยงานเริ่มเวลา 22.00 น.ของวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และเริ่มถ่ายทอดสด เวลา 23.55 น.จนถึงเวลา 0.30 น.ของวันที่ 1 มกราคม 2554 โดยเฉพาะที่วัดราชนัดดารามวรวิหาร กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีฯ จะจัดขึ้นท่ามกลางทิวทัศน์ยามค่ำคืนของโลหะปราสาทแห่งเดียวในโลก ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน
สำหรับวัดราชนัดดาฯ สร้างขึ้นในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งนอกจากจะเป็นยุคที่เศรษฐกิจของประเทศสยามรุ่งเรืองสุดๆ แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นยุคทองของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีศรัทธาในศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก ในสมัยนั้นจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นหลายแห่ง รวมทั้งบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่าอีกหลายวัดเช่นกัน โดย “วัดราชนัดดารามราชวรวิหาร” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2389 ในปลายรัชกาลของพระองค์
ส่วนเหตุที่วัดแห่งนี้มีชื่อว่าวัดราชนัดดาฯ หรือแปลว่า หลานของพระมหากษัตริย์นั้น ก็เนื่องจากว่าพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นเกียรติแก่พระราชนัดดา คือ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี (ภายหลังทรงเป็นพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4)
บางคนคงจะทราบถึงศิลปะแบบ “พระราชนิยม” ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ว่า โปรดการสร้างวัดด้วยศิลปะแบบจีน คือมีจุดเด่นตรงที่หลังคาของโบสถ์หรือวิหารในส่วนที่เป็นหน้าบันนั้น จะเป็นแบบเรียบๆ ตัดส่วนที่เป็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ออกทั้งหมด แต่สำหรับสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ในวัดราชนัดดารามนี้ก็ยังเป็นแบบไทย พระอุโบสถเป็นมีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันลงรักปิดทอง ประดับด้วยกระจกงดงาม ภายในประดิษฐานพระประธานพระนามว่า “พระเสฏฐตมมุนี” ส่วนพระวิหารก็เป็นศิลปะแบบไทยเช่นกัน ภายในมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรเป็นประธาน พระนามว่า “พระพุทธชุติธรรมนราสพ”
สิ่งที่โดดเด่นของวัดราชนัดดารามที่ คือ “โลหะปราสาท” หนึ่งเดียวในประเทศไทย และหนึ่งเดียวของโลกด้วย แม้จะเป็นโลหะปราสาทหนึ่งเดียวของโลก แต่โลหะปราสาทนี้ก็ไม่ได้เป็นหลังแรก เพราะก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ก็เคยมีการสร้างโลหะปราสาทมาแล้ว 2 หลังด้วยกัน หลังแรกก็คือปราสาทของนางวิสาขา บุตรีของธนัญชัยเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย โดยได้สร้างโลหะปราสาทที่มีชื่อว่า “มิคารมาตุปราสาท” เพื่อถวายเป็นที่อยู่ให้แก่พระสงฆ์ มีลักษณะเป็นปราสาท 2 ชั้น มี 1,000 ห้อง ปัจจุบันโลหะปราสาทหลังนี้หักพังจนไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว
ส่วนโลหะปราสาทหลังที่ 2 ผู้สร้างคือ พระเจ้าทุฏฐคามณี กษัตริย์แห่งกรุงอนุราชปุระ ประเทศลังกา ทรงสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ.382 โลหะปราสาทหลังนี้มี 9 ชั้น 1,000 ห้อง หลังคามุงด้วยแผ่นทองแดง ผนังเป็นไม้ประดับด้วยหินมีค่าและงาช้าง สร้างให้พระภิกษุสงฆ์อยู่อาศัยเช่นกัน ภายหลังโลหะปราสาทนี้ได้ถูกไฟไหม้และถูกทำลาย จนตอนนี้เหลือเพียงซากปราสาท แต่ก็ยังเห็นความยิ่งใหญ่ของเสาหินถึงประมาณ 1,600 ต้นด้วยกัน
จนมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโลหะปราสาทหลังที่ 3 นี้ขึ้นโดยมีพระราชประสงค์ให้สร้างโลหะปราสาทขึ้นแทนการสร้างธรรมเจดีย์ อีกทั้งพระองค์ยังโปรดฯ ให้ช่างเดินทางไปดูแบบถึงยังประเทศลังกา และนำเค้าเดิมนั้นมาเป็นแบบสร้าง แล้วปรับปรุงให้เป็นศิลปกรรมแบบไทยเรา
การสร้างโลหะปราสาทนี้ก็เพิ่งมาสำเร็จสมบูรณ์ในรัชกาลปัจจุบันนี่เอง โดยการก่อสร้างนั้นเริ่มขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แต่พระองค์ได้เสด็จสวรรคตไปเสียก่อน โลหะปราสาทในตอนนั้นจึงมีเพียงโครงสร้างเท่านั้น
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงได้มีการก่อสร้างต่อ จนมาเสร็จสิ้นจริงๆ จังๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็นโลหะปราสาท 7 ชั้น (มองจากด้านนอกจะเห็นเป็น 3 ชั้น) มียอดปราสาท 37 ยอดด้วยกัน โดยที่ยอดปราสาทชั้นบนสุดนั้นเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ ให้ประชาชนขึ้นไปกราบไหว้
ยอดปราสาททั้ง 37 ยอด นั้นแทนความหมายถึง โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อันเป็นปัจจัยให้ดำเนินไปสู่ความหลุดพ้นเข้าสู่นิพพาน จะขอขยายความหน่อยว่า โพธิปักขิยธรรม 37 ประการนั้นก็แยกได้เป็น สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 และมรรค 8
ส่วนที่เป็นโลหะนั้นก็คือส่วนของหลังคายอดปราสาททั้ง 37 ยอดนั่นเอง ซึ่งการที่มีส่วนประกอบหลักเป็นโลหะเช่นนี้ก็ทำให้ดูมีความขึงขัง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ขาดความอ่อนช้อยของศิลปะไทยไป ด้านบนปราสาทจะมีจุดให้แวะพักแวะชมตามชั้นต่างๆ เช่น ระเบียงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้รอบทั้ง 4 ด้าน เพื่อไปชมวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครในมุมสูง แม้จะไม่สูงมากนักแต่ก็สามารถมองไปเห็นลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ริมถนนราชดำเนิน มองไปเห็นภูเขาทองสีเหลืองอร่าม และมองไปเห็นวัดสุทัศนเทพวราราม และเสาชิงช้าสีแดงเด่น
เมื่อขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด ก็จะได้พบกับ พระบรมสารีริกธาตุ ที่ประดิษฐานอยู่ในบุษบก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จมาประกอบพระราชพิธีประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ โลหะปราสาท เมื่อปี พ.ศ.2538 นี่เอง
อีกจุดหนึ่งใกล้ๆ วัดราชนัดดา นั่นก็คือ “ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์” ซึ่งมีพระบรมรูปของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่ มีพลับพลาที่ประทับงดงามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงออกรับแขกบ้านแขกเมือง และบริเวณลานยังตกแต่งด้วยดอกไม้ใบไม้ดูสดชื่น อีกทั้งด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์ก็เป็นวัดราชนัดดา มีโลหะปราสาทตั้งเด่นอยู่ทางด้านขวา ทำให้ทัศนียภาพบริเวณลานพลับพลาฯ ที่มองจากด้านริมถนนราชดำเนินนั้นดูสวยงามเป็นอย่างมาก
วันปีใหม่ 2554 จึงนับเป็นโอกาสดี หากใครสามารถเข้าร่วมกิจกรรมดีๆ สวดมนต์ข้ามปี เริ่มต้นดี ชีวิตดี ในปีใหม่ ที่วัดราชนัดดาฯ ก็จะได้ชมความงดงามของโลหะปราสาทด้วย ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีฯ ที่วัดราชนัดดาฯ สามารถขอรับเสื้อยืดสวดมนต์ข้ามปีฯ ได้ที่ซุ้มสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้นะคะ ไปร่วมกันทำเรื่องดีๆ กันเยอะๆ นะคะ
วัดราชนัดดารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนมหาไชย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตรงข้ามป้อมมหากาฬ ด้านหลังลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ สาธุชนทั่วไปสามารถเดินขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนโลหะปราสาทได้ในเวลา 09.00-17.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2224-8807, 0-2225-5769
การเดินทาง :
หากเดินทางโดยรถประจำทางธรรมดา มีรถผ่าน สาย 2, 5, 12, 15, 35, 39, 42, 44, 47, 56, 59, 70, 503, 511, 512 ฯลฯ ผ่าน อีกทั้งยังสามารถนั่งเรือโดยสาร (คลองแสนแสบ) มาลงที่ท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศได้
ที่มา: คีตฌาณ์ ลอยเลิศ เรียบเรียงจาก astv ผู้จัดการ
Update : 28-12-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร