สร้าง “พื้นนิสัยทางบวก และ ความสุข”
คนทั่วไปมีภาพของความสุขว่าเป็นคนที่… “มีอารมณ์ดี” “มีชีวิตที่ดี” “มีอิสระและเป็นตัวของตัวเองที่จะทำในสิ่งที่อยากทำหรือชอบด้วยตนเอง” “ได้รับการยอมรับไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนงานงานอดิเรก” “มีความพึงพอใจในชีวิต” ฯลฯ
นักคิดและวิชาการหลากหลายแขนงเช่น นักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์ นักสังคมวิทยา และนักจิตวิทยา ได้ให้ภาพของคนที่มีความสุขว่าเป็นคนที่ดำเนินชีวิตได้ดี ลงตัว เป็นคนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นดี คิดถึงการฆ่าตัวตายน้อย และมีกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตที่เป็นสุข
ความสุขและจิตวิทยาเชิงบวก
นักจิตวิทยายุคใหม่ที่เรียกตนเองว่าเป็นกลุ่มจิตวิทยาเชิงบวก หรือ Positive Psychology ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้มีความสุข โดยมีพื้นฐานของความสุขจากการมีมุมมองต่อชีวิตและโลกในเชิงบวก เช่น
การมองโลกในแง่ดี
การมีความหวังและความหมายในชีวิต
การมีสติรู้ตื่นลื่นไหลในกิจกรรม หรือ ภาวะ flow
นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มองว่าความสุข คือ การที่บุคคลประเมินภาพรวมในขณะนั้นว่าเขามีความพึงพอใจในชีวิต มีอารมณ์ด้านบวก เช่น ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง ความรู้สึกเบิกบาน รู้สึกดูแลห่วงใย ใส่ใจ ความรู้สึกดื่มด่ำลึกซึ้งกับคุณความดี และการไม่มีความรู้สึกทางลบ เช่น ความซึมเศร้า ความเสียใจ ความกลัว ความโกรธ ความวิตกกังวล เป็นต้น อารมณ์ด้านบวกในที่นี้ ได้แก่ ความรู้สึกสนุกสนาน ความซาบซึ้งใจ ความสนใจ และความพึงพอใจ
ทั้งนี้อารมณ์ด้านบวกจะเป็นตัวนำให้เกิดผลลัพธ์ที่สำคัญต่อการมีชีวิตที่มีความสุข เช่น การพัฒนาความเป็นมิตร ความพึงพอใจในชีวิต ระดับรายได้ที่มากกว่า ประสบความสำเร็จ และการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง รวมทั้งผู้มีประสบการณ์อารมณ์ด้านบวกสม่ำเสมอมักมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาว
วิธีสร้างสุขแบบยั่งยืน…ด้วยการพัฒนาพื้นนิสัยด้านบวก
การเติบโตของแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวกทำให้นักจิตวิทยาหันมามองการพัฒนาความสุขด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในที่เรียกว่า พื้นนิสัยด้านบวก หรือ คุณลักษณะด้านบวกของบุคคล พื้นนิสัยด้านบวกนี้จะเป็นแหล่งของความกระตือรือร้นในชีวิต ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง การมีความรักแบบเมตตา ความสุขแบบเต็มตื้น ความพึงพอใจในชีวิต และการมีความหวัง ซึ่งทำให้คนเราเข้าถึงความดีงาม และการใช้ปัญญาในการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นไปเพื่อตนเองอย่างเดียว
ตัวอย่างการพัฒนาความสุขในแนวทางนี้ได้แก่ การสร้างสุขภาวะทางจิต และการเจริญเมตตาภาวนา
แนวทางแรก คือ “การสร้างสุขภาวะทางจิต หรือ Well-being Therapy” ซึ่งเน้นการพัฒนาคุณลักษณะด้านบวกของบุคคล 6 ด้าน ได้แก่
1 การเป็นนายเหนือสภาพแวดล้อมรอบตัว ด้วยการเลือกสภาพการณ์ที่เหมาะสมต่อความต้องการและคุณค่าที่ตนเองยึดถือ อย่างกระตือรือร้น โดยไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา
2 การมุ่งพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดใจกว้างรับประสบการณ์ใหม่ๆ รวมทั้งมีการปรับปรุงและพัฒนาตนเองเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นตลอดเวลา
3 การใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายและมีความมุ่งหมายที่ชัดเจน ด้วยการรับรู้ถึงพลังชีวิตหรือเสียงเรียกร้องจากภายใน ที่บอกให้ทำสิ่งที่เขารับรู้ว่ามีความหมายและคุณค่าต่อชีวิต
4 การมีอิสระที่จะเลือกทำสิ่งต่างๆ ด้วยพิจารณาใคร่ครวญด้วยเหตุและผล โดยยังคงรักษาความสมดุลทั้งจากภายในตนและคนรอบข้าง
5 การมีทัศนะเชิงบวกต่อตนเอง ด้วยการยอมรับทั้งด้านบวกและด้านลบของตนเอง มีความรู้สึกทางบวกกับช่วงชีวิตของตนเองที่ผ่านมา
6 การมีความสัมพันธ์แบบผูกพันใกล้ชิดกับคนรอบข้าง มีความไว้ใจ สามารถเปิดใจรับคนอื่น และให้ความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่นได้
ในปัจจุบัน ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพของแนวทาง การส่งเสริมสุขภาวะ 6 ด้าน ดังกล่าวในผู้ที่ไร้ความสุขแบบเรื้อรังและมีภาวะวิตกกังวล หรือซึมเศร้า ผลการศึกษาพบว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่เพิ่มความสุขและลดการกลับเป็นซ้ำของภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้าได้ดีในระยะเวลา 2 ถึง 6 ปี ของการติดตามผล
อีกแนวทางหนึ่ง “การเจริญเมตตาภาวนา หรือ Loving Kindness Meditation” ที่เป็นการฝึกให้ความสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ ปัจจุบันขณะ ด้วยสภาพจิตใจที่เปิดกว้าง ไม่มีการตัดสิน จากนั้นจึงเพ่งความสนใจไปยังแก่นกลางใจของตนเอง จนเกิดความสุขสงบจากการเจริญสติเมื่อรักษาความสุขทางใจได้ ใจจึงจะเกิดความเมตตา ที่มีความรัก ความสุข และความฉ่ำชุ่มเย็นอยู่ในจิตใจ พลังเมตตานี้สามารถแผ่ออกมาสร้างอารมณ์บวกต่างๆ
ตัวอย่าง การสร้างโปรแกรมการฝึกการเจริญเมตตาภาวนา หรือ Loving Kindness Meditationง่ายๆ ในโครงงานวิจัยของนิสิตจิตวิทยา (เช่น งานวิจัยของ กนกวรรณ สาธุอยู่ศิริกุล ธนิตา สถาพร และ เรณุกา ทองเนียม, 2555) ได้ให้ผู้เข้าร่วมวิจัย
นึกถึงความรัก ความรู้สึกดีๆ ความปรารถนาดี และความปรารถนาดี ที่ได้จากคนที่รักและสัมผัสถึงความรักความปรารถนาดีนั้น
นึกถึงความปรารถนาดี 4 ประการ
– ขอให้มีความสุข
– ขอให้มีสุขภาพที่ดี
– ขอให้ฉันประสบความสำเร็จในชีวิต
– ขอให้ฉันมีคลาดแคล้วจากภัยอันตรายทั้งปวง
แล้วส่งความรู้สึกดังกล่าวไปยัง คนที่รักเคารพ คนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และสุดท้าย ไปยังทุกคน ทุกสิ่งมีชีวิต รวมถึงผู้ที่ผู้ฝึกรู้สึกไม่พอใจ ทบทวนในใจซ้ำๆ 10-15 นาทีต่อวัน
ผลการการเสริมสร้างความสุขแบบนี้ ทำให้ผู้เข้ารับการฝึกรายงานตนว่า พวกเขาสัมผัสได้ถึงการเพิ่มขึ้นของอารมณ์ทางบวกในชีวิตประจำวัน (เช่น ความรัก ความเพลิดเพลินใจ ความรู้สึกกตัญญูรู้คุณ ความพึงพอใจ ความหวัง) ในช่วงระยะเวลา 9 สัปดาห์นับตั้งแต่เริ่มฝึกการเสริมสร้างความสุข
ผลของความสุขดังกล่าวยังทำให้ผู้ฝึกรู้สึกพึงพอใจในชีวิต มีการยอมรับตนเองมากขึ้น และไร้อารมณ์เศร้าอีกด้วย
ที่มา: โครงการบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาออนไลน์ โดย รศ.ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต