สร้างแรงใจการทำงาน ด้วยการฝึกภาวนา
เมื่อ "การภาวนา" ไร้ข้อจำกัดและไม่ผูกติดกับเรื่องใดเพียงเรื่องหนึ่ง เช่นนี้การภาวนาจึงเป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างเข้าถึงและนำไปเชื่อมโยงกับงานของตัวเองได้
ในกิจกรรม "การเขียน ศิลปะ ภาวนา" ณ สวนราตรี หมู่บ้านสำโรง จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเวทีฝึกปฏิบัติตามโครงการ "ภาวนาคือชีวิต วิถีชีวิตที่เกื้อกูลต่อชุมชนและสังคม" ที่สถาบันบ่มเพาะจิตสู่การแปรเปลี่ยนสังคมและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมเป็นพี่เลี้ยง
ทรงเดช ก้อนวิมล เกษตรกร ต.หนองตอกแป้ง จ.กาฬสินธุ์ นิยามการภาวนากับอาชีพของตนว่า เมื่อการภาวนาคือการเท่าทันอารมณ์ ลดความฟุ้งซ่าน สับสน และดำรงชีวิตอย่างมีสติ ดังนั้นเมื่อความเครียดของอาชีพเกษตรกรคือเรื่องดิน ฟ้า อากาศ จึงพยายามตั้งสติและมองให้เป็นเรื่องปัจจัยธรรมชาติที่ควบคุม ไม่ได้ พร้อมกับค้นหาวิธีการแก้ไขอย่างมีเหตุผล
"แรกๆ มันไม่ง่ายเลย คนทำงานมีความเครียดทุกคน แต่ก็พยายามฝึกไปเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะฝึกตั้งสติระหว่างตักน้ำ การใส่ปุ๋ย ทำสติให้เท่าทันกับความรู้สึกตัวเองอยู่ตลอดเวลา สำหรับผมการภาวนาเหมือนการคุยกับตัวเอง สื่อสารกับอารมณ์ตัวเอง เช่น เคยหงุดหงิดเพราะอากาศร้อน ก็พยายามคิดว่าเราคงไปบังคับพระอาทิตย์ไม่ได้ จึงเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการมาทำงานเช้าขึ้น พอเริ่มสายแดดแรงก็กลับไปทำงานที่สามารถทำได้ในที่ร่มแทน งานก็ยังได้เท่าเดิมและไม่รู้สึกหงุดหงิดเหมือนเก่า"
"ทรงเดช" กล่าวว่า การภาวนาช่วยให้ได้มองชีวิตในมุมบวก เช่น ในเรื่องของอาชีพเมื่อคิดว่าไม่สามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้แล้ว จะใช้สติ เพื่อวางแผนในเรื่องอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน อาทิ การปรับเวลาทำงานตามสภาพอากาศ การปลูกพืชแบบผสมผสานเพื่อป้องกันความเสี่ยง การศึกษา
วิธีปลูกพืชที่ตลาดกำลังมีความต้องการ การศึกษาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ต้นทุนต่ำแต่มีคุณภาพดี และไม่สร้างปัญหาสุขภาพในระยะยาว
การภาวนาในมุมมองของอาชีพครู "สายฝน จันบุตราช" อาจารย์โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง อ.สิริธร จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า การภาวนาได้สร้างกำลังใจให้กับการทำงาน เพราะครั้งหนึ่งเคยรู้สึกหงุดหงิดกับนักเรียนที่ไม่ได้ดั่งใจ กลายเป็นคนขี้บ่น อารมณ์ร้อน จนไม่มีเด็กนักเรียนอยากเข้าใกล้ จึงเริ่มพยายามฝึกสติแบบง่ายๆ ด้วยการเดินภาวนาในทุกๆ เช้า พยายามคิดถึงอารมณ์ของตัวเอง จับความรู้สึก และแก้ไขตัวเองด้วยสื่อสารกับเด็กนักเรียนด้วยน้ำเสียงน่าฟังมากขึ้น ใช้เหตุผลอธิบายแทนอารมณ์ในขณะนั้น และแม้แรกๆ จะใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ทั้งหมดก็มีผลลัพธ์ในทางที่ดีขึ้น
"เมื่อก่อนตอนที่เราชอบดุ ชอบด่า เด็กก็จะกลัวเรา ไม่อยากเข้าใกล้ เขาก็จะไปพูดกับเพื่อนว่ารำคาญจังเลยครูคนนี้ แต่พอเราเอากระบวนการภาวนามาอยู่กับเรา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเรา ซึ่งส่งผลกับเด็กด้วย พยายามปรับตัวเองให้มีเหตุผลและพูดเพราะขึ้น พยายามใช้จิตวิทยาให้เขาคิดเอง เด็กก็เข้าห้องเพราะเกรงใจเรา มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับตัวเองทำให้มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น"
ส่วนอาชีพพยาบาลที่ต้องรับมือกับความคาดหวังของผู้ป่วยนั้น "วัชราภรณ์ ประภาสะสุทธิ์" พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลโนนคูณ จ.ศรีสะเกษ สะท้อนว่า พยาบาลมักมีปัญหากับคนไข้เนื่องจากคนไข้บางรายไม่ยอมทำตามที่แพทย์สั่ง เช่น บางรายไม่มาตามนัด ไม่รับประทานยา จึงทำให้อาการของโรคไม่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนไข้จึงไม่ค่อยดีนักเพราะต่างกล่าวโทษกันไปมาว่าใครคือต้นเหตุ แต่การฝึกสติได้ทำให้มองไปที่เหตุผลและวิธีการแก้ไขมากกว่าจะกล่าวโทษกันเอง ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงทำให้ความเครียดของตัวเองลดน้อยลง เกิดการสื่อสารกับคนไข้มากขึ้น มีพูดคุยในเรื่องราวที่มากไปกว่าอาการเจ็บป่วย จนกลายเป็นสัมพันธ์ เกิดความร่วมมือระหว่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้มาใช้บริการ
"ความจริงใจ และการเอาใจใส่ผู้ป่วยทำให้เกิดพลังในการรักษา เช่น เรื่องที่คนไข้ไม่ยอมกินยา พอเราได้คุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา เราก็รู้ว่าเขาเบื่อไม่อยากกิน รู้สึกท้อแท้ เราก็จะพยายามอธิบายถึงสาเหตุความจำเป็น ให้ความหวังที่อิงกับข้อเท็จจริงว่าหากอาการดีขึ้นกว่านี้ ปริมาณยาจะลดลง เขาถึงยอมกินยา การภาวนานอกจากจะทำให้เราใส่ใจตัวเองแล้ว ยังใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น กลายเป็นผลดีในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันและช่วยหนุนเสริมในเรื่องการทำงาน"
สำหรับโครงการภาวนาคือชีวิตคือการสร้างปัญญาผ่านงานภาวนาในรูปแบบเน้นการเจริญสติตามแนวทาง หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ซึ่งใส่ใจการเคลื่อนไหวกาย และรับรู้อารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น โดยหลังจากดำเนินโครงการระยะเวลา 1 ปีเศษ เกิดเครือข่ายชุมชนกลุ่มคนทำงานอาชีพต่างๆ ที่สนใจเชื่อมโยงหลักการภาวนากับชีวิตประจำวัน เข้าร่วมกว่า 15 โครงการในพื้นที่ทั่วประเทศ
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ