“สร้างเสริมสุขภาพและปลอดบุหรี่” มิติใหม่โรงแรมไทย
เครือข่ายโรงแรมและรีสอร์ทกว่า 700 แห่ง เข้าร่วม "โรงแรมปลอดบุหรี่" ห่วงสุขภาพลูกค้า และพนักงาน
ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท มีความสำคัญอย่างมากในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศเกือบล้านล้านบาทต่อปี จึงมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่น้อย ทว่า ในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ ด้วยปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้อัตราการขยายตัวของภาคธุรกิจดังกล่าวมีไม่มากนัก เป็นที่มาของการต้องการปรับปรุงแก้ไขเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้ธุรกิจ
สอดคล้องวัตถุประสงค์ของ "มูลนิธิใบไม้สีเขียว"ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2540 โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวในประเทศไทย มีการพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ ไปพร้อมกับการมีบทบาทส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมพร้อมในธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นมิติใหม่ของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ที่ลูกค้าผู้มาใช้บริการเน้นให้ความสำคัญต่อการเข้าพักมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมที่เริ่มเห็นผลแล้วในวันนี้ ของมูลนิธิใบไม้สีเขียวก็คือ "Smoke Free Hotel Hero" หรือ "โรงแรมปลอดบุหรี่" ซึ่งปัจจุบันมีเครือข่ายโรงแรมและรีสอร์ททั่วไประเทศเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 700 แห่ง เพราะแต่ละโรงแรมเล็งเห็นแล้วว่า บุหรี่ไม่เพียงก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้สูบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควันบุหรี่ยังสามาราถเข้าสู่ร่างกายของพนักงานและลูกค้าที่ไม่ได้สูบได้ด้วย อีกทั้งควันบุหรี่ในอากาศยังเต็มไปด้วยสารพิษอันตราย หากได้รับเข้าไปในปริมาณมาก ก็สามารถทำลายสุขภาพจนอาจถึงแก่ชีวิตได้
แต่การทำให้สถานประกอบการ กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบของโรงแรมปลอดบุหรี่ได้ 100% โดยไม่มีการสูบบุหรี่ในบริเวณโรงแรมและในห้องพัก นอกจากบริเวณที่จัดไว้ให้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากผู้บริหารให้ความใส่ใจและเห็นความสำเร็จในเรื่องนี้ เหมือนกับที่ โรงแรมดุสิตธานี พัทยาที่ริเริ่มการเป็นโรงแรมปลอดบุหรี่มาตั้งแต่ปี 2538 ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ที่เลิกบุหรี่ด้วยตัวเองและชักชวนให้พนักงานเข้าร่วม เพราะเห็นแล้วว่าองค์กรต้องอยู่ได้แบบแข็งแรง คนทำงานข้างในต้องมีความสุข ซึ่งความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสุขภาพดี จิตใจดี และมีสิ่งแวดล้อมดี ที่ทำงานก็จะน่าอยู่น่าทำมากขึ้น ก่อนจะต่อยอดให้เข้มข้นขึ้นด้วยการเป็นสมาชิกโครงการ Smoke Free Hotel Hero
"จากการชักชวนให้หัวหน้าแผนกทั้งหมดเลิกสูบบุหรี่ได้ถึง 12 คน ในปี 2538 และขยายมาเป็นสถานที่ทำงานปลอดกลิ่นบุหรี่ในส่วนของออฟฟิศ กระทั่งในปี 2540 ก็เข้าร่วมกับโครงการปลอดบุหรี่อย่างจริงจัง โดยผู้บริหารได้ทำความเข้าใจกับพนักงานทุกระดับช่วยกันรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ ซึ่งภายในระยะเวลา 5 ปี ก็ทำให้พนักงานของโรงแรมที่มีอยู่เกือบ 600 คน เลิกสูบบุหรี่ได้ถึง 70% และเมื่อรณรงค์อย่างเข้มงวดในปีถัดๆ มาจนถึงปัจจุบัน จำนวนพนักงานที่ยังสูบบุหรี่หรือกลุ่มนักสูบมือใหม่ก็เหลือเพียง 15% ซึ่งส่วนมากเป็นพนักงานระดับล่างที่เป็นวัยรุ่นอายุ 18-19 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากครับ" ประเวศ อรรคนิมาตย์ ผู้รับผิดชอบโครงการโรงแรมปลอดบุหรี่และสิ่งแวดล้อม รร.ดุสิตธานี พัทยา กล่าว
ประเวศ ยังอธิบายถึงกลยุทธ์ในการไปสู่ความสำเร็จการเป็นโรงแรมปลอดบุหรี่เพิ่มเติมด้วยว่า ใช้กลยุทธ์เพิ่มความยากลำบากในการสูบ เช่น หลายคนต้องเดินออกไปสูบหรี่ในระยะทางที่ไกล เพราะห้ามไม่ให้มีการสูบในโรงแรม และพนักงานที่ยังสูบบุหรี่ต้องฝากบุหรี่ไว้ที่ตู้ล็อคเกอร์รับฝาก จะเอาบุหรี่ออกได้เมื่อเลิกงานหรือเวลาพักเท่านั้น ทำให้พนักงานเลิกบุหรี่ได้มากขึ้น และเมื่อมีคนสูบน้อยลง ก็ทำให้นักสูบหน้าใหม่เกิดขึ้นน้อยลงเนื่องจากไม่มีเพื่อนสูบบุหรี่นั่นเอง โดยคนที่เลิกได้ทางโรงแรมจะมีประกาศนียบัตรหรือรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้ รวมไปถึงจัดกิจกรรมห่างไกลบุหรี่ เช่น ชวนให้พนักงานปั่นจักรยาน นอกจากนี้ในส่วนของลูกค้าที่เข้าพัก ก็มีการติดป้ายขอร้องให้สูบบุหรี่นอกห้องพัก ถ้าฝ่าฝืนมีการปรับเงินเป็นจำนวน 2,000 บาท และหากสูบในบริเวณที่โรงแรมไม่ได้อนุญาตก็จะถูกปรับตามกฎหมาย
"ผลที่ได้รับอย่างแรกคือตัวพนักงานเองป่วยด้วยอาการของบุหรี่น้อยลง และระบบการทำงานยังลื่นไหลได้มากขึ้น เนื่องจากธุรกิจโรงแรมเป็นการทำงานแบบเป็นสายพาน อาศัยระบบงานแบบเป็นทีม หากพนักงานออกไปสูบบุหรี่บ่อยๆ งานก็จะหยุดชะงักได้ ในส่วนขององค์กรก็ลดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก จากการที่ไม่ต้องส่งผ้าม่าน พรม หรืออื่นๆ ส่งซักเนื่องจากติดกลิ่นควันบุหรี่ และคิดว่าต่อจากโครงการโรงแรมปลอดบุหรี่ สิ่งที่ดุสิตธานี พัทยา จะทำต่อไปก็คือการเป็นองค์กรสุขภาวะ หรือแฮปปี้ เวิร์กเพลส ครับ"ประเวศ ระบุ
นอกจากนี้ โครงการดีๆ ยังถูกต่อยอดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ในการพัฒนาโรงแรมปลอดบุหรี่ ให้กลายเป็น "โรงแรมสร้างเสริมสุขภาพ" ที่มีกิจกรรมและบริการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น จัดบริเวณออกกำลังกาย หรือมีเมนูอาหารเพื่อสุขภาพให้กับนักเที่ยวที่มาพัก เป็นต้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อุดม ศรีมหาโชตะ กรรมการบริหารและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โรงแรมบ้านทะเลดาว หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เปิดให้บริการมากว่า 10 ปีแล้ว บอกว่า เทรนด์ของผู้เข้ามาพักทั้งชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวคนไทยในปัจจุบัน ส่วนมากมองเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ทิศทางในการพัฒนากิจการโรงแรมจึงเน้นให้ความสำคัญในจุดนี้ และโดยส่วนตัวทางผู้บริหารเองก็ชอบทั้งสองเรื่องเป็นทุน จึงเป็นที่มาของการเข้าร่วมกิจกรรมโครงการโรงแรมสร้างเสริมสุขภาพ โดยเริ่มจากการเป็นโรงแรมปลอดบุหรี่เมื่อเปิดให้บริการได้ 2 ปี ที่ทำการรณรงค์ทั้งกับพนักงานในองค์กร โดยเน้นรับคนไม่สูบบุหรี่เข้าทำงาน และจัดพื้นที่สูบบุหรี่เฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาพัก
"จนกระทั่งเข้าสู่ปีที่ 7-8 ก็มองว่าสเต็ปต่อไปคือการเป็นโรงแรมสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อครอบคลุมสุขภาวะของคนทำงานและลูกค้า ให้สุขภาพปลอดภัยจากสารเคมี อย่างสระว่ายน้ำทางเราก็ลงทุนใหม่หลายแสนบาท เพื่อเปลี่ยนจากระบบคลอรีนเป็นระบบเกลือ หรือแม้แต่ห้ามไม่ให้ใส่ผงชูรสในอาหาร แต่ใช้วิธีให้เชฟต้มน้ำซุปกระดูกหมูไว้ใช้เอง พร้อมทั้งนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ในการปลูกผักสวนครัวในโรงแรมไว้ในการประกอบอาหารเอง ปุ๋ยที่ใช้รดผักก็มาจากเศษใบไม้ของโรงแรมที่นำไปหมัก ผลผลิตที่ได้ก็แบ่งให้พนักงานนำไปทานที่บ้าน และยังแบ่งให้ลูกค้านำกลับไปทานที่บ้านฟรีด้วยครับ"อุดม กล่าว
เจ้าของโรงแรมบ้านทะเลดาว เอ่ยถึงเคล็ดลับความสำเร็จให้ฟังด้วยว่า ต้องเริ่มจากวิสัยทัศน์และความเอาจริงของผู้บริหาร ต้องลงไปคลุกคลีลงมือทำเองให้เห็น และปรับเปลี่ยนทัศนคติของพนักงานให้เห็นด้านดีของการเป็นโรงแรมสร้างเสริมสุขภาพ ที่มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดีต่อสุขภาพ ก็จะทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และย้อนกลับมาใช้บริการอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ดี ไม่อยากให้มองว่าเป็นการลงทุนเพิ่มที่ต้องเสียงบประมาณ เพราะถ้าค่อยๆ ลงมือทำอย่างยั่งยืน ผลตอบแทนที่ได้จะค่อยๆ เกิดแน่นอน
"ถึงตอนนี้ก็ต้องขอบคุณมูลนิธิใบไม้สีเขียว สสส. โรงแรมดุสิตธานี พัทยา และหน่วยงานภาคีอื่นๆ ในฐานะต้นแบบและเข้ามาให้ความรู้สู่การเป็นโรงแรมสร้างเสริมสุขภาพ รักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะนี้บ้านทะเลดาวเองก็พร้อมสู่การเป็นต้นแบบ ให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเรียนรู้ได้ครับ" อุดม กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต