สร้างสังคมที่เท่ากัน ให้“หญิง-ชาย”ได้เท่าเทียม

 

สร้างสังคมที่เท่ากัน ให้“หญิง-ชาย”ได้เท่าเทียม

 

“เพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ”คนส่วนใหญ่ในสังคมยังคงมองภาพผู้หญิงเป็นเช่นนั้น ส่งผลให้ยังคงพบความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมกันในหลายๆ ด้านระหว่างชายและหญิงอยู่ในสังคม

ที่ผ่านมามีการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของกลุ่มแรงงานผู้หญิงในหลายประเทศ จนประสบความสำเร็จ จึงกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสตรีสากลขึ้นมา ส่วนในประเทศไทยก็นับเป็นเรื่องที่ดีที่มีกระแสเชิงบวกในการลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของผู้หญิง ส่งผลให้ผู้หญิงมีบทบาทในสังคมมากขึ้น แต่ทั้งนี้การจะเปลี่ยนค่านิยมคนหมู่มากที่มีมาช้านานไม่ใช่เรื่องง่ายในอีกมุมหนึ่งจึงยังคงมีการเอารัดเอาเปรียบกดขี่ต่อผู้หญิงอยู่จำนวนมาก

นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลบอกกับเราว่า ในบ้านเรายังคงพบความไม่เสมอภาคระหว่างชายหญิงอยู่มาก แม้แต่ในบางครอบครัวยังคงพบว่าผู้หญิงมักด้อยกว่าผู้ชาย ส่วนในสังคมที่เห็นเด่นชัดก็จะเป็นเรื่องของการทำงานเป็นส่วนใหญ่ เรามักพบว่า ในสถานที่ทำงานมีบุคลากรที่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ในสายที่เป็นฝ่ายบริหารหรือในระดับที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือประเทศ กลับมีสัดส่วนของผู้หญิงที่น้อยมาก หรือแม้แต่หน้าที่บางหน้าที่ ผู้หญิงก็ไม่สามารถเข้าไปทำได้ ส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะการมีทัศนคติว่าผู้หญิงไม่เหมาะที่จะเป็นฝ่ายบริหาร นั่นถือเป็นความไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงเวลามีบุตร ถึงแม้พ่อแม่จะจดทะเบียนหรือไม่ก็ตาม ลูกที่ออกมาก็ต้องใช้นามสกุลของพ่อเพียงอย่างเดียว ถึงแม้จะมีการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงใช้คำนำหน้านามหรือเลือกใช้นามสกุลตัวเองได้ก็ตามที

“เห็นได้ว่าการเลือกปฏิบัติระหว่างชายและหญิงบางเรื่องในสังคมยังคงมีอยู่ให้เห็น ยกตัวอย่าง เช่น การเลือกรับสมัครงาน ในเมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญบอกว่า ไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ แต่บางหน่วยงานยังคงประกาศรับสมัครผู้หญิงล้วน อย่างนี้ผู้ชายเข้าถึงสิทธิไม่ได้ก็ผิดหลักการความเสมอภาค หรืออย่างเวลาที่เปิดรับสมัครนักศึกษาวิชาช่างทหาร รับสมัครผู้ชายอย่างเดียว ผู้หญิงเข้าถึงไม่ได้ อันนี้ก็เป็นการเลือกปฏิบัติ ขัดต่อหลักการความเสมอภาคของรัฐธรรมนูญเช่นกัน แต่ไม่มีการไปร้องเรียนเกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมมันยังไปไม่ถึงไหน เพราะ ประเทศยังมีการเลือกปฏิบัติ” นางสาวสุเพ็ญศรีกล่าว

นางสาวสุเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า การที่เราผลักดันให้ผู้หญิงเสมอภาคกับผู้ชายนั้น เราไม่ได้หมายถึงทุกเรื่อง เพราะผู้หญิงถูกสร้างมาด้วยข้อจำกัดด้วยเรื่องสรีระบางอย่าง เพราะฉะนั้นงานบางอย่าง ถ้าผู้หญิงเขาอยากทำ ก็ควรให้ทำ ไม่ต้องกีดกัน คนส่วนใหญ่มักตีความหมายความเสมอภาคของผู้หญิงว่า อยากจะเป็นผู้ชาย อยากจะมีแบบผู้ชาย มีเมียหลายคน ก็จะสามีหลายคน ซึ่งจริงความหมายของคำว่าเสมอภาคก็คือว่า มีกฎหมายรองรับ มีมาตรฐาน ไม่ถูกกีดกัน ไม่ถูกตำหนิ ไม่เลือกปฏิบัติเท่านี้เอง

“จากที่ผ่านมาปัญหาที่เราพูดถึงกันบ่อย ก็คงเป็นเรื่องของความรุนแรง เพราะว่าผู้หญิงถูกเลือกปฏิบัติ ในเรื่องของกฎหมายเวลาถูกข่มขืน จากสมัยก่อนที่ห้ามชายใดข่มขืนหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของตน มองกลับไปคือผู้ชายได้รับความคุ้มครอง และก็สามารถข่มขืนภรรยาของตนเองได้ไม่ต้องถูกดำเนินคดี แต่นั้นก็ได้รับการแก้ไขแล้วหลังจากที่เรารับรองรัฐธรรมนูญเรื่องความเสมอภาค ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ยังคงพบความรุนแรงในสังคมเกิดขึ้นอยู่ดี เพราะถึงแม้เราจะมีกฎหมายรองรับ แต่หากผู้ถูกกระทำไม่ไปร้องต่อเจ้าพนักงาน กฏหมายนั้นก็เท่ากับไม่มีประโยชน์นั่นบ่งบอกถึงความไม่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย”นางสาวสุเพ็ญศรีกล่าว

นางสาวสุเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า หนึ่งแนวทางที่จะลดปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมในสังคมนั้น ตนอยากเสนอแนะให้มีเวทีให้ผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถมาทำหน้าที่เหมือนเป็นครู ที่จะอำนวยความสะดวกหรือแนะนำในเรื่องของสิทธิสตรีที่พึงมี และที่สำคัญต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้มีเรื่องของสิทธิสตรีตั้งแต่ชั้นประถม เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างจริงจังเสียที โดยตนเชื่อว่าหากทำได้ปัญหาจะค่อยๆ ลดลง

“สุดท้ายนี้ก็อยากฝากไว้ว่า สิทธิสตรี หรือ สิทธิมนุษย์ชน ก็คือสิทธิของมนุษย์ที่ต้องได้รับการกำหนด ได้รับการยอมรับ เมื่อมีประพฤติไม่เหมาะสมก็จะต้องมีการนำกฎหมายนำมาบังคับใช้ สิ่งที่จะทำให้สถานภาพของผู้หญิงดีขึ้นหรือว่าได้รับการยอมรับ อาจต้องมีหน่วยงานหรือว่าองค์กรที่จะต้องทำหน้าที่คุ้มครองหรือพิทักษ์สิทธ์ในรูปแบบหลากหลาย ที่เป็นทางการ หรือเป็นคณะบุคคล เป็นมูลนิธิ  เป็นสมาคม อย่างเช่น สำนักงานกิจกรรมสตรีและสถาบันครอบครัว  สำนักงานส่งเสริมความเสมอภาคที่ร่วมมือกันทำงาน และที่สำคัญไปกว่านั้น เราทุกคนต้องมาช่วยกันเปลี่ยนทัศนะคติเรื่องผู้หญิงของคนในสังคม ให้มองผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย เพราะผู้หญิงก็สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่างเท่าเทียมผู้ชายได้เหมือนกัน”นางสาวสุเพ็ญศรีกล่าวทิ้งท้าย

ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมกันนี้มีมาแต่ช้านาน ถึงแม้ปัจจุบันจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มากเท่าที่ควร เรามาร่วมกันใช้วันที่ 8มีนาคมนี้ ที่เป็นวันสตรีสากล มาเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนทัศนะคติที่ชายเป็นใหญ่ ชายทำได้ทุกอย่างอยู่เหมือนผู้หญิง ให้หันมาให้เกียรติซึ่งกันและกัน เลิกมองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ เพราะผู้หญิงก็สามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้เท่าเทียมผู้ชายได้เช่นกัน เพื่อสังคมไทยของเราจะได้น่าอยู่ขึ้นนะคะ

 

 

ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

Shares:
QR Code :
QR Code