สร้างสวัสดิการชุมชน เสริมความเข้มแข็งครัวเรือน
เพราะระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง สังคมและชุมชน จึงต้องเคลื่อนองคาพยพเปลี่ยนตาม จากเดิมที่เราคนไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ก็กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม เคยอยู่กันเป็นหมู่บ้านก็กลายเป็นคอนโดมิเนียม ความเป็นชุมชนแบบไทยเลือนหาย การพึ่งตนเองและการพึ่งพาอาศัยกันลดลง ชุมชนไร้บทบาทและไม่มีความสามารถในการช่วยคนในชุมชนด้วยกัน สวัสดิการของครัวเรือนและผู้คนในชุมชน กลายเป็นบทบาทของรัฐผ่านหน่วยงานรัฐ หน่วยงานอาสาสมัคร และภาคเอกชน ในรูปแบบการสงเคราะห์ ที่เรียกว่า “สวัสดิการสังคม”
จากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 คนงานภาคอุตสาหกรรมกลับคืนภาคเกษตรกรรม ชุมชนจำนวนหนึ่งได้เรียนรู้เรื่องสวัสดิการ (สวัสดิการดูแลคนในชุมชนเหมือนสวัสดิการในระบบราชการ) ซึ่งพบว่า ยังมีชุมชนหลายแห่ง มีความสามารถที่จะดูแลช่วยเหลือ คนที่ได้รับผลกระทบเศรษฐกิจในเมืองและกลับชนบท โดยผ่านระบบกองทุนออมทรัพย์ เงินที่ได้การจัดสรรจากรายได้และกำไรของกิจกรรมการพัฒนาชุมชนต่างๆ เป็นจุดก่อตัวของความคิดและขบวนการ “สวัสดิการชุมชน” มีการรวมตัวของชุมชนและองค์กรท้องถิ่น ตั้งเป็นกองทุน คิดค้นฟื้นฟูบทบาทของชุมชนในการจัดสวัสดิการพื้นฐานให้กับตนเองและครอบครัวในชุมชน มีการรวมตัวกันอย่างเป็นขบวนการ
ตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน มีชุมชนท้องถิ่น ที่มีบทบาทในการจัดสวัสดิการให้กับสมาชิกและครอบครัวแล้ว (ที่มีข้อมูล) 3,443 กองทุน (ระดับตำบล) จำนวนหมู่บ้าน/ ชุมชนเข้าร่วม 26,549 หมู่บ้าน สมาชิก 1,446,262 ราย มีเงินกองทุนของชุมชนเอง 790.73 ล้านบาท และเงินที่สมทบจากภายนอก 167.03 ล้านบาท ผู้นำที่อาสาสมัครเข้ามาบริหารกองทุนหลายหมื่นคน (ข้อมูลจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน)
ในการประชุมวิชาการครอบครัวศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ประจำปี 2554 ซึ่งจัดโดยสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย และ 15 องค์กรภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ร่วมกับภาคีเครือข่ายนักวิชาการ คนทำงานด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และแผนงานสุขภาวะครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส. ) เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในห้องสัมมนาย่อยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ ของตัวแทนชุมชน ในการจัดสวัสดิการสังคมที่ประสบความสำเร็จ เช่น ชุมชนบางซื่อ กทม. ชุมชนตำบลบางโปรง จ.สมุทรปราการ และเทศตำบลรางหวาย จ.กาญจนบุรี ซึ่งล้วนแต่เอาความต้องการของคนในชุมชนเป็นตัวตั้ง เราได้พบวิธีการบริหารจัดการในการสร้างสวัสดิการชุมชน โดยคนในชุมชน เพื่อคนในชุมชนที่ประสบความสำเร็จ เขามีวิธีทำกันอย่างไร ติดตามกันได้
กองทุนวันละบาทของชุมชนบางซื่อ : เงินไม่ใช่เป้าหมายของกองทุน
คุณทวาย คงคา ตัวแทนจากชุมชนบางซื่อ ซึ่งเป็นชุมชนของคนระดับหาเช้ากินค่ำ ทำให้ขาดสวัสดิการที่จำเป็นแก่ตนเองและครอบครัว การตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนวันละ 1 บาท เมื่อปี 2548 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนในชุมชนรู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต
“เราให้สวัสดิการกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดให้เงินช่วย แก่ให้เงินบำนาญ เจ็บช่วยค่ารักษาพยาบาล ตายให้เงินสงเคราะห์ แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิกและจ่ายเงินเข้ากองทุนวันละ 1 บาท เดือนละ 30 บาท ปีละ 360 บาท อย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันเรามีเงินในกองทุนล้านกว่าบาท เราไม่ได้มองที่ตัวเงิน แม้เราจะช่วยเงินแต่ละครอบครัวไม่มากนัก แต่การได้รู้ข้อมูลความเป็นไปของแต่ละครัวเรือนต่างหาก ที่ทำให้ชุมชนเรามีความใกล้ชิดกัน เยี่ยมเยือนลูกที่เกิดใหม่บ้านนั้น ไปเยี่ยมคนป่วยบ้านนี้ และไปร่วมงานบุญของบ้านโน้น เป็นความอบอุ่นที่ได้มาพร้อมกับสวัสดิการในชุมชน กองทุนที่ตั้งที่เป็นแค่เครื่องมือสานความสัมพันธ์ และสร้างความมั่งคงภายให้เกิดขึ้น ไม่ใช่มั่งคั่งดังความคิดเดิมๆ” คุณทวาย กล่าว
ศูนย์พัฒนาครอบครัวชุมชนตำบลบางโปรง : รักษาสิ่งแวดล้อม เพาะบ่มจิตใจเยาวชน
คุณกนกวรรณ นาคจู ตัวแทนของชุมชนตำบลบางโปรง จ.สมุทรปราการ เป็นชุมชนที่ดูแล 3,428 ครอบครัว 9,431 คน มีโรงงานอุตสาหกรรม 19 แห่ง โรงผลิตไฟฟ้า 1 แห่ง อาชีพของประชากรในอดีตคือ ชาวสวน แต่ปัจจุบันคือ พนักงานบริษัท พนักงานของรัฐ และค้าขาย ปัญหาของชุมชนนอกจากเป็นปัญหาด้านมลภาวะ สิ่งแวดล้อมแล้ว ทางด้านสังคมก็พบว่า วิถีชีวิตของเยาวชนของเรากลายเป็นชุมชนเมือง เด็กวัยรุ่นติดเกม ไม่สนใจเรียน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ติดของแบรนด์เนม คนแก่อยู่บ้านอย่างเดียวดาย ครอบครัวแตกแยก ทุกคนในชุมชนเมินเฉยต่อปัญหาส่วนรวม ทิ้งให้รัฐเป็นผู้แก้ไขโดยไม่คิดจะช่วยเหลือตนเอง
“แต่เมื่อมีศูนย์พัฒนาครอบครัวตำบลบางโปรง ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 ก็เริ่มต้นในการชักชวนครอบครัวแต่ละครัวเรือน เข้าอบรมและเรียนรู้ในการดูแลชุมชนร่วมกัน ให้พ่อแม่ลูกได้มีกิจกรรม มีโครงการพาลูก จูงหลานเข้าวัด จัดค่ายธรรมะ ดูแลทุกกลุ่มในชุมชน ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ วัยรุ่น-เยาวชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยพลัง+ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของคนในชุมชน” คุณกนกวรรณ กล่าว
สวัสดิการชุมชนที่ดี : ให้อย่างมีคุณค่า รับอย่างมีศักดิ์ศรี
นายสิน สื่อสวน ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์กรมหาชน) ให้ข้อแนะนำว่า สวัสดิการชุมชน คือ การสร้างหลักประกันเพื่อความมั่นคงของคนในชุมชน อาจเป็นรูปของเงิน น้ำใจ ความช่วยเหลือเกื้อกูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย หัวใจของการจัดสวัสดิการชุมชน คือ ให้อย่างมีคุณค่า และรับอย่างมีศักดิ์ศรี หลักการจัดตั้งสวัสดิการชุมชน อยู่ที่ความต้องการขั้นพื้นฐานของคนในชุมชนจริงๆ ไม่ใช่ไปลอกจากคนอื่นมา หากชุมชนใดอยากทำขอให้เริ่มจากงานเล็กๆ ไปหางานใหญ่ สำคัญที่สุดคือ “เงินสวัสดิการ” ไม่ใช่เป้าหมายแต่เป็นเครื่องมือ ใช้เงินสร้างเงื่อนไขในการทำให้คนอยากทำความดี ให้เงินตามความจำเป็นและพอดี
“สวัสดิการที่ดีต้องช่วยเหลือทุกคนไม่แบ่งแยก ไม่มุ่งแต่คนยากจนหรือด้อยโอกาส แต่ทุกคนในชุมชนสามารถเข้าถึงและใช้สวัสดิการได้เท่าเทียมกัน สามารถเป็นคนให้และเป็นคนที่ได้รับ สวัสดิการชุมชนจะสามารถเชื่อมโยงคนในชุมชนเข้าหากัน ผลของการจัดสวัสดิการชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรี คือ การเกิดความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชุมชน การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความรู้สึกมั่นคง ภาคภูมิใจ อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และมีความสุขทั้งกายและทางจิตใจ” นายสิน กล่าวสรุป
สวัสดิการชุมชน คุณสร้างเองได้ไม่ต้องแบมือง้อใคร….แต่หากต้องการคำแนะนำหรือศึกษาตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ สามารถติดต่อสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย โทร. 0-2954-2346
ที่มา: สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย