สร้างวัดบันดาลใจให้ไทยเป็นพุทธแท้
วัดในประเทศไทยมีกว่า 40,000 วัด แห่งใดบ้างที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ พร้อมองค์กรต่างๆ หลอมใจกันเปิด 9 วัดต้นแบบ นำร่องให้ความรู้ทั้งด้านกายภาพและกิจกรรม หวังหล่อหลอมพุทธศาสนิกชนให้เข้าถึง “ธรรม” ตามวิถีแห่งพุทธอันแท้จริง
แฟ้มภาพ
วัดทั้ง 9 นั้นประกอบด้วย วัดสุทธิวราราม กรุงเทพฯ, วัดนางชีโชติการาม กรุงเทพฯ, วัดชลประทานรังสฤษดิ์ นนทบุรี, ม.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อยุธยา, วัดภูเขาทอง อยุธยา, วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เชียงใหม่, วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร นครพนม, วัดป่าโนนกุดหล่ม ศรีสะเกษ และวัดศรีทวี นครศรีธรรมราช
ทั้ง 9 วัด ได้รับการคัดเลือกให้เป็นวัดต้นแบบ เพื่อเป็นกรณีศึกษา ในการส่งต่อองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายการทำงานเชื่อมระหว่างภาคประชาชนคนรุ่นใหม่และพระสงฆ์อย่างยั่งยืน อีกทั้งเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับวัดและชุมชนอื่นๆ ในการพลิกฟื้นวัดในชุมชนของตน
ความเป็นมาของโครงการวัดบันดาลใจนี้ นายประยงค์ โพธิ์ศรีประเสริฐ ผู้อำนวยการโครงการ บอกว่า ในอดีตวัดเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางสังคมหลายระดับอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบปะของผู้คนหลายระดับ เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคนในสังคม โดยมีพระเป็นผู้ชี้นำทางสติปัญญาและเป็นที่พึ่งของชุมชน ดังนั้นจะเห็นว่า ในอดีตนั้น วัดเป็นศูนย์กลางของชีวิตและจิตวิญญาณของคนไทย
แต่ด้วยสภาวะทางสังคมและบริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้วัดคล้ายลดบทบาทลงไป เหลือไว้เพียงเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ดังนั้น โครงการวัดบันดาลใจ จึงเกิดขึ้นมา เพื่อพลิกฟื้นบทบาทของวัดกลับมาอีกครั้ง
พร้อมสรุปว่า “ที่ผ่านมาเหล่าสถาปนิก ภูมิสถาปนิก และนักออกแบบใช้ทักษะด้านการออกแบบมาเปลี่ยนแปลงสังคมในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น หากเหล่านักออกแบบมาร่วมกันออกแบบพื้นที่วัดก็น่าจะเป็นสถาปัตยกรรมสูงสุดของวิชาชีพ ที่จะส่งผลให้เกิดความภาคภูมิใจ และเกิดคุณค่าขึ้นแก่สังคมและชีวิต”
นายประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ฝ่ายสื่อสารโครงการวัดบันดาลใจ บอกว่า อยากทำโครงการนี้ออกมา พร้อมเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ออกไปในวงกว้าง พร้อมบอกว่า วัดต่างๆที่นำมาเป็นวัดต้นแบบนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ไปสุ่มตัวอย่าง หรือไปขอให้วัดสมัครเข้ามาทำ แต่เป็นวัดที่ได้ปรึกษาหารือกับคนของโครงการ และมีใจตรงกันแล้วว่าพร้อมทำโครงการ
“เราเลือก 9 วัดนี้ เพราะว่าเจ้าอาวาสมีแนวคิดริเริ่มอยู่ก่อนแล้ว วัดมีความพร้อมอยู่แล้ว บางวัดเจ้าอาวาสท่านก็มีแนวทางอยู่แล้ว แต่บางอย่างท่านอาจจะไม่พร้อม หรือบางอย่างท่านอาจจะไม่มีความรู้ ดังนั้นเราจึงอาสาเข้าไปช่วยเติมเต็มให้”
ส่วนที่โครงการเข้าไปช่วยวัด ประการแรกคือ เรื่องการจัดสถานที่ เรื่องก่อสร้างอาคารต่างๆ แม้วัดจะมีสถานที่ มีอาคารอยู่แล้ว แต่บางวัดก็ยังไม่มีความสวยงาม ไม่มีความร่มรื่น บางวัดอาจจัดพื้นที่ไม่ได้สัดส่วน ไม่สวยงาม ในส่วนนี้โครงการเข้าไปเป็นที่ปรึกษา เพื่อปรับปรุงพื้นที่ให้ร่มรื่น สวยงาม
ประการที่สองคือ เรื่องกิจกรรมทางธรรมในวัด ปัจจุบันวัดมีกิจกรรมทางศาสนาอยู่แล้ว แต่บางวัดอาจจัดไม่เหมาะไม่งาม และอาจไม่น่าสนใจเข้าร่วม ดังนั้นโครงการจึงอาสาเข้าไปช่วยเป็นที่ปรึกษา ว่าควรจะจัดกิจกรรมอย่างไรให้ได้รับความสนใจ และเป็นไปตามครรลองของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
เพื่อให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม นพ.บัญชา พงษ์พานิช เลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า อย่างวัดพระธาตุพนมฯ มีปัญหาเรื่องการจัดโซนพื้นที่ อาจจะมีปัญหาเรื่องการจัดสถานที่ขายของที่ไม่ได้สัดส่วน ไม่สวยงาม ไม่เหมาะสม ทางโครงการก็จะเข้าไปช่วยจัดพื้นที่ให้ ด้านอาคารก็ช่วยดูแลเรื่องรูปแบบอาคาร เรามีที่ปรึกษาเป็นสถาปนิกระดับประเทศ จากสมาคมสถาปนิกสยามฯ หรือจะสร้างใหม่ก็พร้อมให้คำแนะนำเรื่องรูปแบบอาคารที่เหมาะสมกับสถานที่
ด้านกิจกรรมทางพุทธศาสนาหอจดหมายเหตุฯ ก็จะไปช่วยออกแบบเรื่องกิจกรรมเพื่อให้คนได้ปฏิบัติในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ปริยัติ และกิจกรรมทางศาสนาอื่นๆ โดยมีทีมเข้าไปช่วยพัฒนา “เราจะเริ่มที่ 9 วัดนี้ก่อน แต่เราไม่อยากจบแค่ 9 วัดนี้ เราจะเอาเป็นวัดต้นแบบ แล้วขยายผลออกไปยังวัดต่างๆ”
งบประมาณในการดำเนินงานนั้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นผู้สนับสนุนให้ 3 ปี เพื่อให้ได้วัดนำร่อง แล้วขยายผลต่อไป การขยายผลนั้น โครงการจะใช้วัดต้นแบบเป็นแหล่งเรียนรู้ ทั้งพาทัวร์ จัดนิทรรศการ ให้ดูรูปแบบกิจกรรม และที่สำคัญให้รู้ว่า ถ้าจะเป็นวัดบันดาลใจได้นั้น ต้องมีการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายอย่างไร
รูปแบบกิจกรรมเหล่านั้น นพ.บัญชาบอกว่า ไม่ใช่คนถิ่นอื่นบินมาใส่มือให้แล้วจากไป แต่เป็นรูปแบบกิจกรรมที่ผ่านกระบวนการเห็นร่วม ทั้งร่วมพัฒนา ร่วมแสดงความคิดเห็นของชาวบ้าน เมื่อเห็นร่วมกันแล้วค่อยกำหนดรูปแบบออกมา “ไม่ใช่กิจกรรมที่ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาทำให้”
แล้ววัดบันดาลใจที่สมบูรณ์แล้ว ภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้นายประสิทธิ์บอกว่า ทางด้านกายภาพก็ต้องเป็นวัดที่สงบ เรียบร้อย มีพื้นที่สีเขียว สะอาดสะอ้าน ไม่ใช่เข้าไปแล้วก็เห็นแต่ความรกรุงรัง และต้องมีความร่มรื่นอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไปตรัสรู้ในป่า วัดก็ควรมีบรรยากาศคล้ายๆอย่างนั้น
นอกจากบรรยากาศดีแล้ว ก็ต้องมีกิจกรรมทางพุทธศาสนาครบ อย่างน้อยต้องมีการสวดมนต์ เทศนา ภาวนา กิจกรรมเพื่อเรียนรู้ธรรม และที่สำคัญวัดต้องเป็นสถานที่พบปะของคนในสังคม เป็นพื้นที่เอื้อประโยชน์กิจกรรมทางปัญญาของคนในชุมชนอย่างแท้จริง
นพ.บัญชาบอกว่า โครงการนี้มหาเถรสมาคมเห็นด้วยแล้ว และยังนำเอา ม.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อยุธยา เข้ามาร่วมด้วย “ผมว่าการที่มหาเถรสมาคมเห็นด้วยและทำอย่างนี้ ก็น่าจะเป็นกำลังสำคัญได้เป็นอย่างดี”
โครงการวัดบันดาลใจนี้ ผุดขึ้นมานอกจากยังประโยชน์ให้กับคนไทยแล้ว ยังเป็นโครงการมหากุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลใน 3 โอกาสมหามงคลคือ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา และทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบรอบ 84 พรรษา
โครงการวัดบันดาลใจ หมายให้ไทยมีสุข แต่จะสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยการหลอมใจของพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง.
ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ