สร้างนิทานวิเศษ เพื่อเด็กพิเศษ
โครงการ “นิทานวิเศษ เพื่อเด็กพิเศษ” ภายใต้แนวคิด “social story” พาพ่อแม่ ผู้ปกครองเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ร่วมสร้างสรรค์หนังสือนิทานเพื่อลูกคนพิเศษในการสร้างเสริมทักษะชีวิตและทักษะทางสังคม ในการช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ชี้พ่อแม่คือ กลไกสำคัญในการค้นหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมลูก
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556 ณ ห้องประชุมวิชาการชิน โสภณพนิช สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ร่วมกับแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. จัดงานอบรมปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพการอ่านผ่านเรื่องเล่าทางสังคม (social story) โดยนางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า ที่ผ่านมาแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้รณรงค์ส่งเสริมการอ่านกับเด็กและบุคคลทั่วไป ในการจัดงานครั้งนี้เราเห็นว่าหากจะส่งเสริมการอ่านกับเด็กพิเศษ เราต้องมีสิ่งวิเศษๆที่จะสื่อสารกับเด็ก ให้เด็กเข้าใจตนเอง เข้าใจคนรอบข้าง เพื่อเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสม
“เนื่องมาจากวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ถือเป็นวันครบรอบปีที่ 12 แห่งการก่อตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน จึงได้สนับสนุนรณรงค์ให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งการสร้างเสริมสุขภาวะ ผ่านกระบวนการและกิจกรรมสนับสนุนการอ่านกับเด็ก ครอบครัว ชุมชน โรงเรียนสถาบันการศึกษา หน่วยงานด้านสุขภาพ รวมถึง ผู้ผลิตผู้จำหน่ายหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาวะในด้านต่างๆภายใต้ชื่อโครงการ novemberbangkok-read for heath :อ่าน (ยกกำลัง) สุขเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของบุคคลากร ชุมชน และ หน่วยงานต่างๆ ในการสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านเพื่อสุขภาวะใน 4 มิติ ทั้งกาย ใจ สังคมและปัญญา และร่วมหนุนเสริมกรุงเทพมหานครในวาระกรุงเทพฯเมืองหนังสือโลก”
นางสุดใจกล่าวต่อว่า การอบรมปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพการอ่านผ่านเรื่องเล่าทางสังคม (social story) “นิทานวิเศษ เพื่อเด็กพิเศษ” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญของโครงการอ่านยกกำลังสุขเพื่อหนุนให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครองที่มีความรู้ความสามารถในการใช้สื่ออ่านเพื่อพัฒนาลูกที่มีความต้องการพิเศษได้ด้วยตนเอง
ด้าน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ กล่าวว่าปัจจุบันพบเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการและปัญหาในการเรียนรู้จากภาวะการทำงานของสมองผิดปกติ ได้แก่ สมาธิสั้น แอลดี เรียนรู้ช้า และออทิสติก มีถึง 12-13% ของประชากรเด็กทั้งหมด แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ประชากรที่เพิ่มขึ้น การค้นพบเด็กที่มีปัญหาทางพัฒนาการได้มากขึ้น รวมถึงปัจจัยแวดล้อมทั้งมลพิษและอาหารล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก ซึ่งเด็กเหล่านี้มักมีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ร่วมด้วย ส่งผลต่อการปรับตัวทางสังคมทำให้พ่อแม่เกิดความกังวลใจในการดูแลลูกในชีวิตประจำวัน ทั้งการดูแลให้ทำกิจวัตรประจำวันและการใช้ชีวิตในสังคม
“การดูแลที่สำคัญเริ่มจากการค้นหาเด็กที่มีความบกพร่องให้ได้โดยเร็ว โดยให้เด็กได้เข้าสู่กระบวนการฝึกพัฒนาทักษะ และส่งเสริมพ่อแม่ให้สามารถพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบง่ายๆได้ด้วยตนเองอีกทั้งกระบวนการเหล่านี้ยังสามารถส่งเสริมด้านความเข้าใจด้านภาษาและสมาธิให้กับเด็กพิเศษได้อีกด้วย” แพทย์หญิงอัมพรกล่าว
ที่มา : แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส.