สร้างทักษะคุยเปิดอกเรื่อง’เพศ’ในบ้าน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
ถูกดุยกใหญ่เมื่อลูกชายลูกสาวคุยเรื่องเพศหรือเพื่อนสนิท จึงทำให้เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่มองว่าคุยเรื่องแฟนกับเพื่อนดีกว่า เกิดความห่างเหินกันในครอบครัว ทั้งๆ ที่พ่อแม่พูดคุยเรื่องเพศกับลูกจะช่วยให้ลูกเข้าใจเรื่องเพศในทางที่ถูกต้องและปลอดภัย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การสื่อสารเรื่องเพศกลายเป็นโจทย์ยากที่สุดของหลายครอบครัว เมื่อมีโอกาสพัฒนาทักษะการสื่อสารจึงไม่ควรละเลย ในการประชุมระดับชาติเรื่องสุขภาวะทางเพศ ครั้งที่ 2 ประเด็น "เซ็กส์เปิดในวัยรุ่น : เปิดพื้นที่เพิ่มความฉลาดรู้เรื่องเพศ"เมื่อไม่นานนี้ จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย 5 องค์กรหลักตาม พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย องค์การกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ หรือ UNFPA และเครือข่ายเยาวชน
หนึ่งในหัวข้อการประชุมย่อยที่น่าสนใจคือ "ถ้าบ้านเราคุยกันได้ทุกเรื่อง เรื่องเพศก็แค่อีกเรื่องที่เราจะคุยกัน" โดย ชูไชย นิจไตรรัตน์ ผู้จัดการมูลนิธิแพธทูเฮลท์ ร่วมสาธิตวิธีการสร้างทักษะให้กับผู้ปกครองและเยาวชนในการสร้างความสัมพันธ์และการสื่อสารกับลูกหลานในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องที่ยากที่สุดในการคุยเรื่องเพศ
ชูไชย นิจไตรรัตน์ ให้ข้อมูลว่า การคุยเรื่องเพศในครอบครัว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พยายามเปิดโอกาสให้เด็กรู้ว่าเขาสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง เพราะพ่อแม่หลายคนไม่กล้าพูดคุยกับลูก ด้วยทัศนคติที่ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งพ่อแม่เองต้องทำความเข้าใจเรื่องเพศว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่มีความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย สภาพแวดล้อม และสิ่งกระตุ้นรอบข้างก็ล้วนส่งผลไปยังพฤติกรรม อารมณ์ ความรู้สึก ท่าทีการแสดงออก ตลอดจนความคิดและค่านิยมว่าจะไปในทิศทางใดอีกด้วย
ผู้จัดการมูลนิธิแพธทูเฮลท์กล่าวด้วยว่า เครื่องมือที่นำมาสาธิตในครั้งนี้ได้รับต้นแบบมาจากอาจารย์ทิชา ณ นคร หรือป้ามล ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนชาย บ้านกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นผู้คิดค้นนำวิธีนี้ไปใช้ปลูกฝังเรื่องเพศให้แก่เยาวชนภายในบ้านกาญจนาภิเษกจนได้ผลที่ดี โดยมูลนิธิแพธทูเฮลท์ได้นำมาประยุกต์เป็นรูปแบบที่สามารถใช้ในการปรับทัศนคติสื่อสารเรื่องเพศระหว่างพ่อแม่และลูกได้ กิจกรรมครั้งนี้จะเป็นการนำเครื่องมือของป้ามลมาถ่ายทอดให้ผู้ร่วมประชุมได้ทดสอบ
เริ่มจากการแบ่งกลุ่มย่อยให้แต่ละกลุ่มมีเด็กและผู้ใหญ่ แล้วร่วมกันตอบคำถาม "อะไรคือสิ่งที่อยากให้ลูกหลานเป็นเมื่ออายุ 18" โดยเขียนลงในกระดาษ จากนั้นให้เด็กและผู้ใหญ่เปิดพื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็นกับมุมมองเด็กมีความสอดคล้องกันหรือไม่ ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่ที่ได้คือ พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนให้จบ อยากให้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดี มีเป้าหมายในชีวิต ไม่สนับสนุนมีแฟน เป็นต้น
ตามด้วยกิจกรรม "เบิร์ด กับ ก้อง" ตัวอย่างวัยรุ่น 2 คน ที่มีชีวิตต่างกันโดยใช้นามสมมุติซึ่ง "เบิร์ด" เป็นคนหน้าตาดี มีสาวๆ แอบชอบมาก มีแฟนคนแรกตอน ม.ต้น และมีเพศสัมพันธ์กับแฟนคนปัจจุบันแล้ว อยู่หอพักกับเพื่อน มีมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว ชอบเล่นดนตรี และมีปัญหากับพ่อเลี้ยง ส่วนคนที่สองชื่อ "ก้อง" เป็นคนที่สนิทสนมกับแม่ เป็นกรรมการนักเรียน เรียนดีปานกลาง และมนุษย์สัมพันธ์ดี
ผู้ร่วมกิจกรรมวิเคราะห์วัยรุ่นทั้ง 2 คนว่า "เบิร์ด" เป็นเด็กที่มีพฤติกรรมเหมือนในวัยรุ่นทั่วไปในปัจจุบัน มีความห่างเหินกับครอบครัว ใช้ชีวิตโดยไม่มีผู้ปกครองแนะนำตักเตือน ทำให้เชื่อสิ่งที่เพื่อนบอกมากกว่าครอบครัว สิ่งนี้อาจทำให้เลือกทำสิ่งที่ผิดได้ ส่วน "ก้อง" มีพื้นฐานที่ดี เป็นผู้นำ อนาคตอาจจะได้มีหน้าที่การงานที่ดี ปัญหาคือ ก้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี อาจทำให้หลงเชื่อและเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ผิดได้เช่นเดียวกัน
"ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่อยากได้ลูกแบบก้องมากกว่า แต่ที่จริงวัยรุ่นอาจเลือกที่จะเป็นแบบก้องต่อหน้าพ่อแม่ และในอีกมุมหนึ่งก็อาจจะเป็นแบบเบิร์ด ที่สำคัญคือ พ่อแม่ต้องเข้าใจ พยายามพูดคุยกับลูกให้มากขึ้น ต้องช่วยกันวิเคราะห์ปัจจัยผลักและปัจจัยดึง และทำให้พ่อแม่ได้สื่อสารกับลูกเพื่อหาทางออกร่วมกัน สร้างความรัก ความผูกพัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้วัยรุ่นเติบโตอย่างเหมาะสม" ชูไชยสรุป
เสาศิลป์ เพ็งสุวรรณ เครือข่ายเด็กและเยาวชน จ.มหาสารคาม หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรมให้ความเห็นว่า จากที่ได้ร่วมทำงานด้านเด็กเยาวชน พบว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเด็กวัยรุ่นมักมีสาเหตุมาจากปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว กิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมให้วัยรุ่นและผู้ปกครองพูดคุยเรื่องเพศซึ่งนำไปปรับใช้ได้จริง
"การคุยเรื่องเพศในบ้านขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่สิ่งสำคัญคือ การปรับทัศนคติของพ่อแม่ ทั้งในเรื่องความคิด ความเชื่อ ตลอดจนเรื่องกรอบความเป็นผู้หญิงและชายที่ถูกสะสมมาในสังคมไทย ที่ผ่านมาพ่อแม่มักจะคุยกับลูกถึงสิ่งที่ตนเองอยากได้และอยากให้ลูกเป็น มากกว่าการมองในมิติการเปิดใจให้ลูกได้มีโอกาสปรึกษาแลกเปลี่ยนร่วมกัน สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่ต้องรณรงค์อย่างหนักในสังคม" เสาศิลป์ทิ้งท้าย