สร้างต้นแบบโรงพยาบาลรณรงค์บ้านปลอดบุหรี่

พร้อมรณรงค์ให้สังคมเห็นโทษควันบุหรี่มือสอง

 

 สร้างต้นแบบโรงพยาบาลรณรงค์บ้านปลอดบุหรี่

           สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี นำร่องสร้างต้นแบบโรงพยาบาลเด็กในการรณรงค์ทำให้บ้านปลอดบุหรี่  โดยเชิญชวนรณรงค์ แนะนำการดูแลสุขภาพเด็ก ๆ ผ่านพ่อแม่ และญาติพี่น้องที่พามารักษา

 

            แพทย์หญิงศิราภรณ์  สวัสดิวร  ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี  กล่าวว่า วันนี้ (3 ธันวาคม 2551) สถาบันฯ ได้เปิดการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการต้นแบบในการรณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่ ณ ห้องประชุมสานฝัน ชั้น 2 ตึกมหิตลาธิเบศร สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ.2549 พบว่า มีครัวเรือน 7.3 ล้านครัวเรือน  ที่มีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนสูบบุหรี่  และมีประชากรอายุต่ำกว่า 5 ปี 2.28 ล้านคน  ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน  และการสำรวจในปี พ.ศ.2550  พบว่า  ในจำนวนผู้สูบบุหรี่ 10.8 ล้านคน  ร้อยละ 58.9 หรือ 6.3 ล้านคนที่สูบบุหรี่ขณะอยู่ในบ้าน

 

            จากข้อมูลดังกล่าว สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ซึ่งเป็นสถานบริการสุขภาพที่มีหน้าที่ดูแลรักษาและให้ความรู้กับประชาชนด้านสุขภาพต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลสุขภาพเด็ก    ที่พ่อแม่ และญาติพี่น้อง พามารักษาในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก สถาบันฯ จึงจัดทำโครงการต้นแบบในการรณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่ ร่วมกับ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) ที่มุ่งเน้นในการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงอันตรายจากการได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้สถาบันฯ เป็นศูนย์กลางในการรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไทย   โดยไม่สูบบุหรี่ในบ้าน  และพัฒนาระบบการบริการสำหรับให้ความรู้และส่งเสริมการเลิกสูบบุหรี่ ให้กับบุคลากร  ผู้ปกครอง  และผู้ใช้บริการ ตลอดจนจัดสภาพแวดล้อมให้สถาบันฯ เป็นเขตปลอดบุหรี่ตามที่กฎหมายกำหนด

 

            กิจกรรมที่ดำเนินการในโครงการ อาทิเช่น การประกาศนโยบาย, การสำรวจจำนวนบุคลากรที่สูบบุหรี่  ให้การช่วยเหลือบุคลากรที่ต้องการเลิกบุหรี่, การจัดระบบบริการ  เพื่อส่งเสริมการเลิกสูบบุหรี่ให้กับผู้ใช้บริการ,  การฝึกอบรมพยาบาลที่แผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน เกี่ยวกับการประเมินและให้คำปรึกษาเพื่อการเลิกสูบบุหรี่, มีสื่อที่เกี่ยวข้องแจกแก่ครอบครัวเด็กที่มีผู้สูบบุหรี่  มีระบบแนะนำให้ผู้สูบบุหรี่ไปรักษายังคลินิกอดบุหรี่,  มีระบบติดตามประเมินผลที่เกิดขึ้น และพร้อมเป็นโรงพยาบาลต้นแบบในการเป็นศูนย์กลางรณรงค์สร้างค่านิยมบ้านปลอดบุหรี่ให้แก่โรงพยาบาลอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป 

 

           รศ.คลินิก (พิเศษ) แพทย์หญิงมุกดา  หวังวีรวงศ์  หัวหน้าโครงการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี : ต้นแบบในการรณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่  กล่าวว่า  จากการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง การสูบบุหรี่ และการรณรงค์ บ้านปลอดบุหรี่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่พาบุตรหลานมารับบริการตรวจรักษา  และบุคลากรของสถาบันฯ โดย สำนักวิจัยเอแบคโพลล์  ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม  2551 ที่ผ่านมา  พบว่า ร้อยละ  82  ของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่สูบบุหรี่  มีการสูบบุหรี่ในบ้าน แม้ร้อยละ 86 เชื่อว่าผู้ที่รับควันบุหรี่มือสองมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ  ได้เช่นเดียวกับคนที่สูบบุหรี่ แต่มีผู้ปกครองไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่รู้ว่าโรคต่าง ๆ ในเด็กเกี่ยวข้องกับการได้รับควันบุหรี่มือสอง  เช่น ผู้ปกครองทราบว่าควันบุหรี่มือสองทำให้เด็กเป็นหวัดบ่อยขึ้นเพียง 37% การติดเชื้อทางเดินหายใจ 51.8% หลอดลมอักเสบ 48.8% หืดจับบ่อยขึ้น 53.8% หูน้ำหนวก 17.4% และไหลตายในเด็กเพียง 17.0% จึงมีความจำเป็นที่สถานบริการทุกแห่งจะต้องร่วมกันให้ความรู้แก่ผู้ปกครองถึงโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสองในเด็ก ๆ  ซึ่งร้อยละ 84 ของผู้ปกครองเห็นด้วยต่อการรณรงค์ให้บ้านเป็นเขตปลอดบุหรี่

 

           ศ.นพ.ประกิต  วาทีสาธกกิจ  เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  กล่าวว่า จากรายงานการวิจัยของเฮเลน บินส์ และคณะ จากโรงพยาบาลเด็กชิคาโก  เผยแพร่ข้อมูลในกลุ่มงานวิจัยเด็ก ที่ศึกษาผู้ปกครองใน  463  ครัวเรือน ถึงปัจจัยที่มีผลต่อการห้ามสูบบุหรี่ในบ้านและในรถยนต์  ผลพบว่ามีผู้ปกครองร้อยละ 42  เป็นผู้ที่สูบบุหรี่  ร้อยละ 50 ของครัวเรือนห้ามสูบบุหรี่ในบ้านและร้อยละ 58 ห้ามสูบบุหรี่ในรถยนต์  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดให้บ้านปลอดบุหรี่คือ การที่มีผู้ไม่สูบบุหรี่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน  ผู้ปกครองที่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับอันตรายของควันบุหรี่มือสองต่อคนไม่สูบ และบ้านที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ผู้วิจัยแนะนำให้บุคลากรสาธารณสุขให้ความรู้แก่ผู้สูบบุหรี่ให้มากที่สุดถึงอันตรายของควันบุหรี่มือสอง เพื่อเพิ่มอัตราส่วนบ้านและรถยนต์ที่ปลอดบุหรี่

 

            ศ.นพ.ประกิต  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ควันบุหรี่เป็นมลพิษทางอากาศภายในบ้านที่ร้ายแรงที่สุด โดยมีสารก่อมะเร็งมากกว่า 50 ชนิด และมีสารพิษอื่น ๆ อีกกว่า 250 ชนิด  ในเด็ก ๆ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจและหืดจับบ่อยขึ้น  และในผู้ใหญ่ทำให้เกิดมะเร็งปอดและโรคหัวใจได้  โดยที่ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองมากที่สุดคือในบ้านและในรถยนต์  นอกจากจะเป็นอันตรายต่อคนในบ้านแล้ว การที่มีผู้สูบบุหรี่ในบ้านยังเพิ่มความเสี่ยงที่เด็ก ๆ จะกลายเป็นผู้สูบบุหรี่ได้ด้วย  บ้านจึงต้องปลอดบุหรี่และท่านที่ต้องการเอกสารและข้อมูลเพื่อรณรงค์หรือต้องการร่วมรณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่ติดต่อได้ที่มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ มสบ. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.

 

 

 

 

update 03-12-51

Shares:
QR Code :
QR Code