สยบปัญหาแรงงานข้ามชาติ

สสส. ร่วมมือเอ็นจีโอกำหนดทิศทาง

 

สยบปัญหาแรงงานข้ามชาติ

            สสส.เชิญเครือขาย เอ็นจีโอด้านแรงงานข้ามชาติร่วมหารือเพื่อกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกัน คนทำงานชี้ปัจจุบันการเดินทางเข้าออกประเทศของแรงงานภาคอีสานเงียบเหงาเนื่องจากทางการตรวจเข้ม หวั่นส่งผลผู้ประกอบการไทยอาจเจ๊ง!!!เพราะขาดคนทำงาน ขณะที่ภาคใต้ตั้งศูนย์นำร่อง ศสมช.ไทย-พม่าเพื่อการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและการทำงานร่วมระหว่างคน 2 ชาติอย่างกลมกลืน

 

            เมื่อวันที่  22และ 23 มีนาคม 2553 บางกอกคริสเตียนเกสเฮาส์ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดการประชุมกับกลุ่มภาคี 11 โครงการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการประเมินสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ทำงาน การจัดการด้านนโยบายตลอดโครงการ และสรุปผลการดำเนินงานในแต่ละโครงการ โดยมีโครงการที่เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนภาคีเครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนทุนเข้าร่วมการประชุมครบทุกโครงการโดยมีนายอดิศร เกิดมงคลผู้จัดการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติเป็นผู้เปิดการประชุมและกล่าวชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุมว่าที่ผ่านมาโครงการมีการดำเนินการในนโยบายในหลายประเด็นด้วยกันคือเรื่องแรกการพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติ พม่า ลาว ซึ่งทางโครงการได้ทำการสนับสนุนการเคลื่อนไหวในการยื่นหนังสือเปิดผนึกเพื่อแสดงความห่วงใยต่อความมั่นคงปลอดภัยของแรงงานข้ามชาติจาก ประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา กว่า 2 ล้านคน ที่อาจต้องถูกผลักดันกลับประเทศหลังเลยกำหนดในการขึ้นทะเบียนเพื่อขอพิสูจน์สัญชาติ

 

             นอกจากนี้ผู้จัดการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติฯยังกล่าวอีกว่าได้มีการการจัดเวทีร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร  เรื่องของขบวนการนายหน้าในการพิสูจน์สัญชาติซึ่งมีการเรียกเก็บค่านายหน้าที่แพงเกินไปเนื่องจากมีนายจ้างหักค่าหัวคิว ซึ่งไม่มีกลไกในการควบคุมด้านกฎหมาย  เสนอให้มีการออกเป็นระเบียบของสำนักนายกในเรื่องการศึกษาของเด็กที่ไม่มีสัญชาติ โดยกฤษฎีกาให้ออกเป็นกฎกระทรวงการศึกษาแห่งชาติซึ่งมีการอนุญาตให้ตั้งศูนย์การศึกษาเอกชนของเด็กข้ามชาติได้  โดยมีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ที่มีอยู่แล้วไปจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนของเด็กข้ามชาติ ซึ่งทางสภาความมั่นคงแห่งชาติขอตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลเรื่องนี้ โดยคาดว่ากฎกระทรวงจะเสร็จสิ้นประมาณสิ้นเดือนมีนาคม 2553 อย่างแน่นอน ซึ่งทางโครงการก็จะมีการจัดเวทีกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการอีกครั้งในเดือนเมษายน 2553 ต่อไป

 

            ด้านนายเสรี  ทองมากเลขาธิการมูลนิธิพัฒนรักษ์ ซึ่งรับผิดชอบดูแลแรงงานข้ามชาติในส่วนภาคอีสาน 3 จังหวัดได้แก่จังหวัดมุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบลราชธานีกล่าวว่าบริบทในพื้นที่ของในส่วนภาคอีสานซึ่งมีจุดผ่านแดนของแรงงานข้ามชาติอยู่หลายจุดด้วยกัน โดยแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาในประเทศส่วนใหญ่จะทำงานในภาคเกษตร อาทิ การดำนา ปลูกมัน ตัดอ้อย และการเพาะเมล็ดพันธุ์จำหน่ายและในส่วนของภาคบริการจะมีการทำงาน อาทิเช่นร้านคาราโอเกะ ร้านอาหารเป็นต้น ซึ่งเมื่อก่อนจะมีการผ่านด่านของแรงงานข้ามชาติโดยจุดผ่านที่เป็นด่านประเพณีแต่เนื่องจากปัจจุบันมีการจัดตั้งจุดสกัดยาเสพติดซึ่งจะต้องส่งทหารไปประจำการตามจุดต่างๆในหมู่บ้านและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในส่วนของจังหวัดอำนาจเจริญให้แรงงานข้ามชาติที่จะผ่านแดนเข้าสู่ประเทศไทยต้องมาขึ้นที่จุดผ่านด่านเพียงจุดเดียวโดยห้ามผ่านด่านอื่นซึ่งส่งผลทำให้จำนวนของแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยลดน้อยลงและส่งผลกับผู้ประกอบการไทยเนื่องจากขาดแรงงานในการดำเนินกิจการโดยเฉพาะในส่วนงานที่แรงงานไทยไม่ทำ เช่น การเกษตรเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ที่ต้องทำงานกับสารเคมีในปริมาณที่สูง

 

            คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจเป็นคนไทย โดยมีบริษัทจะมาลงทุนให้ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีที่ทางก็ได้  ซึ่งเจ้าของธุรกิจไทยบางคนเหลือเงินเก็บเป็นแสนหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการประกอบกิจการเรียบร้อยแล้วซึ่งจะทำกันในใช้เวลาหลังเกี่ยวข้าว ซึ่งมีการเพาะปลูกในโรงเรือนกางมุ้งในโรงเรือนเมื่อฉีดยาและสารเคมีต่างๆก็จะเข้าสู่ร่างกายของแรงงาน ฉะนั้นส่วนของเมล็ดพันธุ์ที่กว่าจะได้มาสัก 1 กิโลกรัมต้องแลกกับการรับสารเคมีจำนวนมากถึงจะได้มาเป็นค่าแรงรายวันของแรงงานข้ามชาติ ซึ่งถ้าแรงงานข้ามชาติไม่มาทำงานนายจ้างจะขาดทุนในที่สุด   พื้นที่ที่ประกอบกิจการแบบนี้มากคือในเขตพื้นที่ ต.ชานุมาน อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ มีคนทำกิจการประมาน 200 กว่าครอบครัวซึ่งมีการสร้างฟาร์มเพาะปลูกไว้ในทุ่งนารอบนอกของหมู่บ้านเลขาธิการมูลนิธิพัฒนรักษ์กล่าว

 

            ด้านนายชูวงศ์ แสงคงผู้จัดการโครงการพิเศษมูลนิธิศุภนิมิต จังหวัดระนอง ซึ่งรับผิดชอบโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติกลุ่มจังหวัด ภาคใต้ ซึ่งมีพื้นที่ทำงานในเขตจังหวัด สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต ระบุว่าที่ผ่านมาทางโครงการมีการดำเนินการจัดตั้งศูนย์สาธารณะสุขมูลฐานชุมชนไทย-พม่าซึ่งมีการปรับจากศูนย์สาธารณะสุขมูลฐานเดิมที่มีอยู่แล้วซึ่งมีการจัดตั้งอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.)เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้านของไทย ซึ่งมีการแบ่งกันทำงานเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ ชุมชน อนามัย และโรงพยาบาล  โดยการดำเนินการดูแลแรงงานข้ามชาติเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงจึงมีการนึกถึงระบบกองทุนขึ้นมาซึ่งกำหนดให้ศูนย์ ศสมช.รับผิดชอบ ซึ่งกองทุนมาจากการรับบริจาคและผู้รับบริการที่เป็นแรงงานข้ามชาติมีการขายใบสุขภาพให้กับแรงงานทุกประเภทสามารซื้อได้โดยจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการซื้อประกันสุขภาพ

 

            สำหรับการประชุมตลอดระยะเวลา 2 วันได้มีการสรุปการดำเนินงานของแต่ละโครงการภาคีเครือข่ายพร้อมทั้งวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในภาพรวม นอกจากนี้ยังมีการวางแผนกิจกรรมที่จะดำเนินการในอีก 3 เดือนถัดไปร่วมกัน รวมถึงการถอดบทเรียนการดำเนินในรอบ 6 เดือนของโครงการภาคีเครือข่ายอีกด้วย ซึ่งหลังภายหลังจากการประชุมโครงการภาคีเครือข่ายจะได้นำข้อเสนอแนะและแนวทางเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการย่อยต่อไปและได้มีการนัดหมายเพื่อร่วมประชุมภาคีกันอีกครั้งในวันที่ 24-25 มิถุนายน 53นี้

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา: โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล สสส.

 

 

 

update: 31-03-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

 

           

 

 

 

 

 

           

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code