สภาผู้นำชุมชนกลไก ‘อีสานสร้างสุข’

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 


สภาผู้นำชุมชนกลไก 'อีสานสร้างสุข' thaihealth


แฟ้มภาพ


สร้างชุมชนเข้มแข้ง ผ่านกลไกสภาชุมชน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่าน อีสานสร้างสุขปี 3 


ชุมชนเข้มแข็ง คือ อนาคตสังคมไทย ที่ใครๆ เฝ้าปรารถนา แต่คำๆ นี้ จะสร้างให้เป็นจริงได้อย่างไร วันนี้ มีบทพิสูจน์จาก 17 หมู่บ้านต้นแบบอีสาน น่าอยู่ที่ชุมชนลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาของตัวเอง ด้วยการใช้นวัตกรรมสร้างสุขที่เรียกว่า  "สภาผู้นำชุมชน" มาเป็นกลไกจัดการปัญหาน้อยใหญ่ ในงาน"มหกรรมฮักแพง แบ่งปัน อีสานสร้างสุข"ปี 3 ซึ่งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  จัดขึ้นที่ จ.ขอนแก่น


เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อเปิดพื้นที่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากหมู่บ้านอีสานต้นแบบใน "โครงการร่วมสร้างชุมชน น่าอยู่" ขยายผลและต่อยอดไปสู่พื้นที่อื่นๆ   บ้านสำโรง ต้นแบบสภาปรองดอง 1 ใน 17 หมู่บ้านต้นแบบที่ก้าวจากหมู่บ้านติดลบ จนกลายมาเป็นต้นแบบชุมชนน่าอยู่ และมีสภาผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง คือ "บ้านสำโรง" ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์  หมู่บ้านชนบททำเกษตรกรรมที่นี่ ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่สวยหรู แต่เคยเต็มไปด้วยปัญหามากมายรุมเร้า ทั้งปัญหาขยะ ปัญหาการใช้สารเคมีทำการเกษตร ชุมชนเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แบ่งกลุ่มแบ่งขั้วจากปัญหาการเมืองในหมู่บ้าน


"ตอนผมเป็นผู้ใหญ่บ้านปีแรก แทบจะ เกิดประชุมหมู่บ้านไม่ได้เลย มีทั้งฝ่ายค้านฝ่ายแค้นที่จ้องรอจังหวะจะห้ำหั่น เปิดประชุมแต่ละที มีคนมาร่วมไม่ถึง 20 คน "พีรวัศ คิดกล้า หรือ ผู้ใหญ่อึ่ง แห่ง"บ้านสำโรง" เล่าถึงวิกฤติสมัยรับตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน คนใหม่สมัยแรกเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เขาพยายามหาทางออกปัญหา จนกระทั่งได้มาเห็นต้นแบบความสำเร็จ "บ้านหนองกลางดง" อ.สามร้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่ง ผู้ใหญ่โชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ ใช้กลไก "สภาผู้นำ" จนสามารถดึงคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการพัฒนาชุมชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน


ปี 2554 จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บ้านสำโรงเป็นหมู่บ้านนำร่องแห่งแรกๆ ในภาคอีสานที่เข้าร่วม "โครงการร่วมสร้างชุมชนน่าอยู่" ซึ่งสสส. โดยสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม ได้ทดลองนำแนวคิดกลไกสภาผู้นำชุมชนจากต้นแบบของ "บ้านหนองกลางดง"มาการบริหารจัดการปัญหาชุมชน จนสามารถขยายผลเกิดหมู่บ้านต้นแบบชุมชนน่าอยู่กระจายในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ


ผู้ใหญ่อึ่ง อธิบายว่า แนวคิดหลักๆ ของสภาผู้นำชุมชน คือ การนำผู้นำเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ส.อบต. กรรมการหมู่บ้าน และอสม. มาทำงานร่วมกับผู้นำโดยธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชน เช่น ผู้นำกลุ่มคุ้ม ชมรม กองทุน กลุ่มอาชีพ ปราชญ์ชาวบ้าน จิตอาสาที่เป็นคนดีคนเก่ง


สภาผู้นำชุมชนจึงเป็นสภาที่เปิดกว้าง  ไม่ได้มีแต่คนหน้าเดิมๆ หรือพรรคพวก ผู้ใหญ่บ้าน แต่ยังมีทั้งฝ่ายค้าน คนที่คิดต่าง ปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงทุกคนทุกฝ่าย ในชุมชนที่สามารถเข้าร่วมสะท้อนมุมมอง ที่แตกต่างกันในสภา โดยมีเป้าหมายเดียวกันเพื่อร่วมกันคิด ร่วมกันทำ พัฒนาหมู่บ้าน ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ในมุมมองของผู้ใหญ่อึ่ง ตราบใดที่ชุมชนต่างๆ ยังคงคิดและทำแบบเดิม  ไม่กล้าพูดความจริงกัน ไม่เปิดโอกาสให้กับความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการ ทำงาน เราจะไม่มีทางก้าวข้ามความขัดแย้งและพัฒนาชุมชนไปได้เลย เขา ยอมรับว่า


ช่วงแรกของการสร้างทีม ทำให้สภาผู้นำชุมชนก่อตัวขึ้นมาเป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่ถ้ามีความตั้งใจจริง เชื่อว่าทุกหมู่บ้านทำได้  เทคนิคของผู้ใหญ่อึ่ง เริ่มจากการ เดินสายพูดคุยทำความเข้าใจใช้เวลาอยู่นาน  3-4 เดือน เพื่อเล่าให้ฟังว่า "สภาผู้นำชุมชน"  คืออะไร มีการฉายวีดิทัศน์ต้นแบบความสำเร็จบ้านหนองกลางดงให้ดูเป็นตัวอย่าง สร้างแรงจูงใจว่าเราจะลองทำกันดูไหม ไม่สำเร็จไม่เป็นไร แต่ถ้าทำแล้วดีก็จะเป็นประโยชน์กับบ้านเรา  การมีส่วนร่วมจะเกิดขึ้นเมื่อคนในชุมชน


เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและตัวเขา ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจาก "ใจ" ที่อยากจะทำก่อน อยากที่จะพัฒนาหมู่บ้านให้ดีขึ้น อยากพัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้น ความเป็นสภาผู้นำชุมชนตัวจริงเสียงจริงจึงจะเกิดขึ้น เป้าหมายคือ การเอาความดีความเก่งของแต่ละคนมาช่วยทำให้บ้านสำโรงน่าอยู่  สภาผู้นำชุมชนของบ้านสำโรงเริ่มก่อตั้งขึ้นด้วยจำนวนสมาชิก 53 คน โดยมีนัดหมายประชุมหารือกันทุกเดือนในเวลา 19.00 น. ทุกคนต้องใส่เสื้อสภาผู้นำที่เป็นสัญลักษณ์ ร่วมกันของทีม โดยมีกฎกติกาต้องไม่ดื่มเหล้าก่อนเข้าประชุม และต้องรับฟังความคิดเห็นกันในที่ประชุม ไม่ติฉินนินทานอกห้องประชุม เมื่อมีมติรับรองกติกาสภาผู้นำแล้ว แต่ละคน ก็นำสภาพปัญหา ความทุกข์ที่เผชิญในหมู่บ้าน มาคุยกัน ถกเถียงกันอย่างจริงจัง โดยใช้ข้อมูล และเหตุผลเป็นเครื่องมือในการคุยกันมากขึ้น  หัวข้อของการพูดคุยคืออยากให้ บ้านสำโรงน่าอยู่ ต้องแก้ไขพัฒนาอะไร เพราะการหยิบยก "โจทย์"ที่โดนใจมาเป็น "ตัวเดินเรื่อง" ย่อมได้รับความสนใจและความร่วมมือจากสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ไม่ใช่ปัญหาในสายตาของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง


ผลจากการนั่งคุยกัน ในที่สุด จึงได้หยิบเอาประเด็นการใช้สารเคมีในการปลูกผักมาเป็นประเด็นแรกในการขับเคลื่อนโครงการร่วมกัน มีการเก็บข้อมูลสภาพปัญหา เอาข้อมูลมาวิเคราะห์ พร้อมทั้งเปิดประชุมชน เพื่อคืนข้อมูลกลับไปให้ชาวบ้านได้รับทราบปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


"หลายคนไม่เชื่อว่าการปลูกผักโดย ไม่ใช้สารเคมีจะทำได้จริง ดังนั้น จึงต้องทำให้เชื่อก่อน โดยมีต้นแบบความสำเร็จให้เห็นเป็นตัวอย่าง โดยเริ่มจากสภาผู้นำ 13 คนที่มีอาชีพเป็นเซียนปลูกผัก เป็นผู้นำกลุ่มแรก รวมทั้งชวนเกษตรกรที่สนใจไปศึกษาดูงานจนกลับมารวมกลุ่มกันได้ 36 คน หลังจากนำร่องปลูกผักปลอดสารเคมีจนประสบความสำเร็จ จึงกลายเป็นจุดสนใจในชุมชน เกิดการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดองค์ความรู้กันเอง ขยายผลจากแปลงผักไปสู่การทำนาอินทรีย์ จนปัจจุบัน มีสมาชิกเครือข่ายปลูกผักปลอดสารเคมีและผักอินทรีย์ทั้งหมด 71 ราย และนาอินทรีย์ อีก 38 ราย" ผู้ใหญ่อึ่ง เล่าถึงความสำเร็จ ที่เกิดขึ้น


หลังจากสภาชุมชนเริ่มเข้มแข็ง มีการพูดคุย วางแผน แบ่งงานกันทำอย่างจริงจัง จึงเกิดการขยายงานโดยอัตโนมัติ นำมาสู่การ


กำหนดกติกาชุมชนร่วมกันที่เรียกว่า "สัญญาใจครัวเรือนน่าอยู่" ของบ้านสำโรงที่ทุกครัวเรือนต้องทำร่วมกัน ได้แก่ ทุกครัวเรือนต้องปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินเองอย่างน้อย  10 ชนิด ต้องมีการคัดแยกขยะและร่วมกันดูแลความสะอาดของหมู่บ้าน ทุกคนใน ครัวเรือนต้องลด เลิกเหล้า ปลอดลูกน้ำยุงลายทุกครัวเรือนต้องมีตัวแทนมาเข้าร่วมประชุมและร่วมกิจกรรมในหมู่บ้าน โดยจะมีกลไกการติดตามประเมินผล และนำมาแลกเปลี่ยนกันในสภาผู้นำชุมชน นำมาสู่การสร้างวัฒนธรรมการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน จนบ้านสำโรงเป็นต้นแบบสภาผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งซึ่งพร้อมเป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดประสบการณ์สู่ชุมชนอื่นๆ   คำตอบที่ต้องขยายผล


นอกจาก บ้านสำโรง จ.สุรินทร์แล้ว  ในงาน "มหกรรมฮักแพง แบ่งปัน อีสานสร้างสุข" ยังมีต้นแบบชุมชนอีสานน่าอยู่จากอีก 16 หมู่บ้านที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ และพร้อมเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับชุมชนอื่นๆ เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้แก่ ชุมชนน่าอยู่ ปลอดเหล้า ที่บ้านโคกจ๊ะ จ.สุรินทร์ และ


บ้านดงยาง-พรภิบูลย์ จ.อุดรธานี ชุมชนต้นแบบ จัดการขยะ บ้านโคกสวาย บ้านโนนกลาง บ้านกุดหลวง จ.สุรินทร์, บ้านหนองโพด จ.มหาสารคาม, บ้านคอนสาย จ.อุบลราชธานี บ้านนาดี จ.ศรีสะเกษ, บ้านหนองลาดน้อย จ.สกลนคร ชุมชนเกษตรอินทรีย์ ผักปลอด สารพิษ บ้านโนนรัง บ้านหนองแก จ.ศรีสะเกษ, บ้านโนนงิ้ว จ.สุรินทร์, บ้านหินกอง จ.อำนาจเจริญ, บ้านเทพคีรี จ.หนองบัวลำภู, บ้านโนนข่า จ.ขอนแก่น และชุมชนลดพฤติกรรมเสี่ยงวัยรุ่น เสริมสร้างครอบครัวอบอุ่น บ้านดงจงอาง จ.ยโสธร 


สภาผู้นำชุมชนกลไก 'อีสานสร้างสุข' thaihealth


ดร. สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ถือเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพ จากแนวคิดของ ประยงค์ รณรงค์ ปราชญ์ชาวบ้านเจ้าของรางวัลแมกไซไซ ที่แสดงให้เห็นถึงการเสริมพลังให้ชุมชนเข้มแข็ง มีศักยภาพในพัฒนาตนเองได้ โดยมีต้นแบบความสำเร็จในระดับที่หมู่บ้านหนองกลางดง อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงนำมาสู่โครงการร่วมสร้างชุมชนน่าอยู่ ซึ่งสสส.  โดยสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม ได้เริ่มโครงการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2554 ปัจจุบัน ครอบคลุมกว่า 2 พันชุมชนทั่วประเทศ โดยในภาคอีสานได้เกิดการขยายเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่จำนวน 464 หมู่บ้าน 630 โครงการ โดยโครงการร่วมสร้างชุมชนน่าอยู่ระยะต่อไป 3 ปีระหว่างปี 2560 – ปี 2562 สสส.ตั้งเป้าขยายการทำงานในอีก 380 ชุมชนทั่วประเทศ


"ตัวอย่างความสำเร็จของ 17 หมู่บ้านอีสานต้นแบบครั้งนี้ ซึ่งมาจากโจทย์ที่เป็นความต้องการของชุมชน โดยผ่านกลไกสภาผู้นำชุมชน ทำให้เกิดผลลัพธ์ในประเด็นต่างๆ ทั้งในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ลดละเลิกเหล้า การลดใช้สารเคมี ทำให้ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชนลดลง เราหวังว่าความสำเร็จเหล่านี้จะขยายผลต่อไปในภาพใหญ่ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ขยายวงขึ้นในสังคม"


วันนี้ โจทย์ที่ยากที่สุดของการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน มีตัวอย่างหลายชุมชนในภาคอีสานที่สามารถลุกขึ้นมาจัดการปัญหาด้วยตัวเองได้แล้ว และคำตอบนี้  กำลังเริ่มขยายผลความสำเร็จไปสู่ชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ

Shares:
QR Code :
QR Code