สนามเด็กเล่น สร้างปัญญาได้อย่างไร?
เรื่องโดย : ดนยา สุเวทเวทิน Team Content www.thaihealth.or.th
ที่มา : มูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา และหนังสือ "สรุปบทเรียนการพัฒนาระบบการดูแลเด็กปฐมวัย และการจัดการสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา"
ภาพประกอบโดย สสส. ณัฐพร ชุ่มลือ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
ความสุขอีกหนึ่งอย่างของช่วงวัยเด็กก็คงหนีไม่พ้นการได้วิ่งเล่น ซุกซน ปีนป่าย กระโดดเชือก กระโดดโลดเต้นตามประสา ความสุขเหล่านั้นถูกปล่อยพลังออกมาทางรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และทางแววตาของเด็กเหล่านั้นเป็นอย่างดี
ลองนึกภาพย้อนความทรงจำกลับไปตอนที่คุณยังเป็นเด็ก ในตอนนั้นคุณมีความสุขมากแค่ไหน ในเวลาช่วงพักกลางวันที่จะไปจับจองพื้นที่เพื่อเล่นกระโดดเชือกกับกลุ่มเพื่อน หรือจะเป็นตอนที่คุณแบ่งข้างกับเพื่อนแข่งกระโดดหนังยาง ตีแบดมินตัน เตะฟุตบอล โหนบาร์ หรือแม้กระทั่งผลัดกันไกวชิงช้าก็ตาม
เพราะทุกครั้งที่เด็กได้เล่นสนุกสมองจะหลั่งสาร “เอ็นดอร์ฟิน” หรือ “สารแห่งความสุข” เป็นฮอร์โมนที่จะออกมาเมื่อคุณอารมณ์ดี เป็นสารเคมีที่สมองสร้างเองจากสิ่งที่ได้ทำแล้วมีความสุข โดยส่วนมากสมองจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหลังออกกำลังกาย ซึ่ง “ลุงดิส หรือ อาจารย์ดิสสกร กุนธร” คือผู้ที่มีความเชื่อว่าการเล่นสนุกอิสระตามวัยไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่จะทำให้เกิดพัฒนาการทางร่างกาย สมอง และจิตใจได้เป็นอย่างดี เขาจึงริเริ่มโครงการ "สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา" ร่วมกับ สสส. สถ. และภาคีเครือข่าย เพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยได้เคลื่อนไหว มีกิจกรรมทางกาย ออกกำลังกาย เล่นสนุกตามธรรมชาติที่เหมาะสมกับช่วงวัย และแนวทางการเลี้ยงดูพระโอรสและพระธิดาของสมเด็จย่าที่ทรงให้พระโอรสและพระธิดา เล่นดิน น้ำ โคลน ตามอิสระธรรมชาติ
การปล่อยให้เด็กได้เล่นและเรียนรู้อย่างอิสระตามธรรมชาตินี้เองจะช่วยพัฒนาศักยภาพสติปัญญา การเรียนรู้ พัฒนาการความฉลาดทางอารมณ์ เกิดทักษะทางสังคม และเคารพกติกาการอยู่ร่วมกับผู้อื่น นั่นเพราะโอกาสทองของการพัฒนาเด็กอยู่ที่ช่วงอายุ 0-5 ปีแรก
สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา จะถูกจัดเป็น 5 ฐาน ตามแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่ 1-3 ปี 3-5 ปี 5-7 ปี และ 7-11 ปี
ช่วง 1-3 ขวบ ต้องส่งเสริมทักษะการช่วยเหลือตัวเอง ทั้งการเดิน การทรงตัว จึงจัดทำพื้นเอียงบ้าง ฝืดบ้าง ลื่นบ้าง เพื่อให้เด็กได้ปีนป่าย ทรงตัว เล่นน้ำ ดิน ทราย โคลน ต้นไม้ใบหญ้า แสงแดด
ช่วง 3-5 ปี ต้องเอื้อให้เกิดพัฒนาการทางด้านจิตใจ และจินตนาการ จึงมีอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เด็กนำมาคิดต่อยอด
ช่วง 5-10 ปี จะเริ่มทำจินตนาการให้เป็นความจริง เช่น ทำของเล่นเอง จึงต้องฝึกทักษะการใช้อุปกรณ์ของมีคมเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เลื่อย ตะปู การเจาะต่าง ๆ รวมถึงทักษะการใช้ชีวิต การหุงข้าว ทำกับข้าว
สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา 5 ฐาน ประกอบด้วย
ฐานที่ 1 สระอินจัน เหมาะกับเด็ก 2-4 ขวบ ภายในจะประกอบด้วยบ่อทรายที่มีทั้งส่วนพื้นราบและเนินทรายละเอียด บ่อน้ำมีพื้นด้านล่างเป็นทรายเพื่อให้เด็กได้ทดลองเล่นทรายผสมน้ำและเนินดินที่มีส่วนทางลาดคอยช่วยเรื่องการทรงตัว และทำให้เด็กได้ทดลองเล่นดินผสมน้ำ เด็กจะได้พัฒนาเซลล์สมองส่วนซีรีเบลลัม (บริเวณท้ายทอย) ที่มีบทบาทในการควบคุมการสั่งการและประมวลผล เพื่อฝึกพัฒนาการด้านการทรงตัว และการเอาตัวรอด รวมทั้งการพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์และศิลปะจากการเล่นวัสดุธรรมชาติอย่างดิน ทราย และน้ำ
ฐานที่ 2 สระทารก เหมาะกับเด็ก 1-3 ขวบ (ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด) โดยภายในฐานประกอบด้วย สระน้ำเอียงระดับความลึกให้มีทั้งส่วนตื้นและส่วนลึก มีทางเดินรอบสระ พื้นผิวขัดหยาบ ๆ เพื่อกันลื่น น้ำพุกลางสระ เพื่อสร้างรุ้งกินน้ำ น้ำพุข้างสระติดตั้งให้พุ่งเอียงโค้งลงในสระก๊อกน้ำและสายยาง และสไลเดอร์สูง 1.10 เมตร ทำมุมเอียง 40 องศา สระทารกจะช่วยพัฒนาความรู้สึกของเด็กที่รักการเล่นน้ำให้เปลี่ยนเป็นรักน้ำ แล้วค่อย ๆ ปลูกฝังให้เด็กอย่างเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำ เพื่อให้ในอนาคตเด็กจะสนใจที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ อาทิ น้ำท่วม น้ำแล้ง หรือน้ำเสีย เพื่อรักษาแหล่งน้ำที่เขารักเอาไว้ พร้อมทำให้เด็กสนใจเกี่ยวกับน้ำมากขึ้น ต่อยอดอนาคตเพื่อพัฒนาไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์หรือวิศวกร
ฐานที่ 3 ค่ายกล spiderman เหมาะกับเด็ก 3-10 ขวบ (ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิดและการซ่อมบำรุงเครื่องเล่นอย่างต่อเนื่อง) ในฐานนี้จะประกอบไปด้วยบ่อทราย ใช้เป็นทรายละเอียดกันการตกกระแทก โครงเสาไม้เนื้อแข็งที่ไม่มีมุมแหลมคม เชือกใยยักษ์ที่ใช้ในการประมง และต้นไม้ใหญ่ ที่มีกิ่งและลำต้นตรง เพื่อการเดินเชือกฐาน ค่ายกล spiderman จะช่วยให้เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อจากการปีนป่ายเส้นเชือก นอกจากนี้การได้ออกกำลังกายอยู่ตลอดเวลาจะทำให้มีการเติบโต เรียนรู้การเคลื่อนไหวที่มั่นคงจากเครื่องเล่นทำให้เด็กฉลาดและอารมณ์ดี
ฐานที่ 4 เรือสลัดลิง เหมาะกับเด็ก 3-10 ขวบ เรือสลัดลิงจะเป็นเหมือนบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นบนจะมีส่วนของลานกว้างใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เป็นพื้นที่สำหรับการเล่านิทานและพื้นที่ด้านในตัวบ้านที่เป็นส่วนของห้องสมุดมีหนังสือมากมายให้เด็กได้อ่านชั้นล่างจะเป็นส่วนใต้ถุนบ้าน เป็นพื้นที่สำหรับการจัด workshop สอนทำขนม สอนทำศิลปะ หรืองานประดิษฐ์ต่าง ๆ ส่วนรอบตัวบ้านจะประกอบด้วยเครื่องเล่นนานาชนิดให้เด็กได้ปีนป่าย โหน แกว่ง ไปตามเชือก – ในฐานนี้จะทำให้เด็กได้ฝึกสร้างกล้ามเนื้อ ฝึกการทรงตัว ได้ผจญภัยอย่างอิสระไปกับเครื่องเล่นโดยรอบ ในขณะเดียวกันเด็ก ๆ ที่มาร่วม workshop ก็จะได้ฝึกทักษะต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ ได้ร่วมฟังนิทาน อ่านหนังสือที่มีประโยชน์ในห้องสมุดของเรือสลัดลิง
ฐานที่ 5 หัดว่ายน้ำ หัดว่ายน้ำ คือฐานที่ควรสร้างเป็นฐานสุดท้าย สระน้ำที่มีความลึก 60 ซม. แห่งนี้คือพื้นที่ที่เด็ก ๆ จะได้ฝึกว่ายน้ำให้เป็น ฝึกการพยุงตัว ฝึกการช่วยเหลือเพื่อนในน้ำให้เด็กได้คุ้นเคยกับการเล่นน้ำ โดยอาจจะทำสไลเดอร์ต่อลงมาจากเรือสลัดลิงก็ได้ – นอกจากจะได้เล่นสนุกในน้ำแล้ ฐานนี้ยังสามารถเป็นพื้นที่ฝึกทักษะให้เด็ก โดยครูอาจพาเด็กมาสอนทักษะการช่วยเหลือเพื่อนยามตกน้ำ การผายปอด หรือการแบกผู้ป่วยขึ้นหลัง (ด้วยวิธีของลูกเสือ) ในบริเวณนี้ได้
ประโยชน์จากการเล่น
– การสร้างการเรียนรู้
– การฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่
– การฝึกการสังเกต การฝึกความกล้าแสดงออก การฝึกความเป็นผู้นำ ผู้ตาม
– การฝึกการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน
– การฝึกเรื่องความปลอดภัยจากการเล่น
– การฝึกการตัดสินใจและการฝึกการรอคอย
สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย สนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้เล่นอิสระ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ และเพิ่มการมีกิจกรรมทางกาย จึงส่งเสริมให้ท้องถิ่นจัดตั้ง “สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา” เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่น ทราย น้ำ ต้นไม้ และวัสดุตามธรรมชาติ ภายใต้ความร่วมมือจาก บ้าน วัด โรงเรียน ท้องถิ่น
เด็กน้อยจะเติบโตเป็นคนดีได้ต้องมีความสุขจากการได้เล่นอิสระจากธรรมชาติและของเล่นที่มาจากธรรมชาติ เช่น ทราย ดินเหนียว น้ำ ลม ต้นไม้ใบหญ้า แสงแดดยามเช้า ได้เรียนรู้จากความมพอเพียง พอดี พองาม ช่วยตนเอง และช่วยพ่อแม่ได้
งานที่สำคัญของพ่อแม่คือ สอนเขาโดยการทำให้ลูกดู ลูกเล็กจะพยายามทำตามเหมือนเงา พอทำได้เขาจะพัฒนาสมองส่วนหน้าผากว่า “เขาทำเองได้แล้ว” จะเกิดความมั่นคงในจิตใจว่า “เขาจะอยู่รอดปลอดภัยในโลกนี้”
ช่วงวัย 0-11 ขวบ เป็นช่วงที่พ่อแม่ต้องอยู่กับเขา การเล่นรวมอยู่ใน 0-11 ขวบนี้ด้วย โดยของเล่นที่ดีที่สุดและสำคัญมากคือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ยอมให้เขาได้เล่น
ในช่วงวัยที่สำคัญ จิตใจและสมองมีการพัฒนาสูงสุดในแง่อารมณ์ นิสัยใจคอ ความขยันอาสา ความแข็งแรง จินตนาการ ศิลปะ ดนตรี ความเมตตา ศีลธรรม ความพอเพียง พอดีพองาม รวมทั้งการมัธยัสถ์ ประหยัด อดออม
การขายของจากสิ่งที่ปลูก งานเกษตรและงานประดิษฐ์ เป็นฐานที่สำคัญใต้ถุนสนามเด็กเล่น ที่จะสร้างเด็กให้สร้างสรรค์ด้วยครูที่อาสามาช่วย เช่น
-คุณตา คุณยายใจดี มาสอนทำขนม มาสอนทำว่าวทำของเล่น มาเล่าประสบการณ์ชีวิตและนิทานสอนใจ
-พระมาสอน โดยการเล่านิทานชาดกที่มีอยู่แล้วห้าร้อยเรื่อง ล้วนแล้วแต่สอนให้ปลูกคุณธรรมความดี ละอายชั่วกลัวบาป เพราะเป็นวัยที่จำเป็นต้องปลูกความคิดที่ถูก จะได้ผลไปตลอดชีวิต
วิชาการที่พ่อแม่คิดผิด การเร่ง หรือการปลูกผิดเวลาจะทำให้มีการฆ่าสมองส่วนต่าง ๆ เช่น คุณธรรม การสร้างสรรค์ ศิลปะ ดนตรี การทำตามพ่อแม่ทำให้เด็กเกิดสมองส่วนหน้าฝ่อ ขี้ขลาด คิดอะไรเองไม่เป็น ทำอะไรเองไม่ได้ เป็นคนเห็นแก่ตัว จึงเกิดการโกงคอร์รัปชัน เกิดเป็นโรคมะเร็ง กระดูกพรุน เป็นคนที่เป็นอันตรายต่อสังคม เพราะวิชาการก่อนเด็กจะโตพอเท่ากับการใช้สารเร่งให้โต แต่คนกินอาจตายผ่อนส่ง
สมเด็จย่าทรงใช้สิบปีแรกป้องกันลูกท่านให้พ้นจากการถูกอัดการเรียนในเวลาที่การเล่นคือการเรียน เพราะการเรียนของผู้ใหญ่ สะกดด้วย “ล” เป็น “เลียน” กอบปี้ ลอกแบบ คิดเอาเองไม่ได้ เพราะเวลาที่เด็กจะคิดคือ เวลาเล่น และของเล่นต้องเป็นของเล่นที่ส่งเสริมการคิดแบบเชื่อมโยง ไม่มีนี่ต้องใช้อันนี้ มีทราย น้ำ ดิน ลม ต้นไม้ ต่อไปคือ กาว กระดาษ ต้นกล้วย ต้นไผ่ มะพร้าว ต่อไปเป็น ไม้ ตะปู ค้อน สิ่ว สะกัด สว่าน ต่อไปคือ เหล็ก พลาสติก เคมี และในที่สุดจะเป็นผลงานของการศึกษาแบบ ฉันทะ คือ อาหาร เครื่องส่งวิทยุ รถยนตร์ เรือ เครื่องบิน จบลงด้วยตัวหนังสือที่บรรยายการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ไม่ใช่การลอกเลียนแบบใคร เป็นการเรียนที่ระเบิดออกจากข้างในตัว อันถูกปลูกและบ่มเพาะมาจากการเล่นในธรรมชาติ เล่นคืองาน งานคือเล่น เล่นกับงานนั้นสนุก สุข และเป็นคนดี เพราะมีความสุข
ดาวน์โหลดอินโฟกราฟิกที่ https://bit.ly/2RC66qL