สธ.เปิดโครงการ”เด็กไทย IQ เกิน100″
นักวิชาการเตือนเลี้ยงลูกด้วยแท็บเล็ตร่างกายพัฒนาช้า เล็งทำวิจัยใช้ให้เหมาะสม ห่วงเด็กแอลดีหลุดจากระบบ เหตุไม่มีการส่งต่อข้อมูลสุขภาพเด็กจากโรงหมอไปโรงเรียน เตรียมนำร่อง 4 จังหวัดส่งต่อข้อมูลออนไลน์ คาดปี 59 พัฒนาการล่าช้าเด็กลดลง แถม iq เกิน 100 เด็กแอลดีกลับเป็นปกติไม่เกิน ป.4
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในการแถลงข่าว “เด็กไทย iq เกิน100” และเปิดโครงการพัฒนาระบบการจัดการเชิงพื้นที่ในการเชื่อมต่อข้อมูลและการให้บริการเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและเชาวน์ปัญญาเด็กไทย ว่า อัตราการเกิดของเด็กไทยเฉลี่ยปีละ 800,000 คน จำนวนนี้มีเด็กพัฒนาการล่าช้า 30% หรือประมาณ 240,000 คน ซึ่งสะท้อนได้จากจำนวนเด็กที่มีระดับสติปัญญา (iq) ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานคือ 100 สูงถึง 49% และความฉลาดทางอารมณ์ (eq) ที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ช่วงอายุของเด็กระหว่าง 0-5 ปี เป็นช่วงรอยต่อที่มีผลต่อการพัฒนาการของเด็ก หากพ่อแม่รู้เร็วว่าลูกมีพัฒนาการล่าช้าและเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส โดยการดูแลเด็กอย่างต่อเนื่องในช่วงอายุดังกล่าว จะสามารถแก้ปัญหาพัฒนาการล่าช้าและช่วยเหลือเด็กได้ถึง 160,000 คนต่อปี
พญ.อัมพร กล่าวอีกว่า จากแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย สธ.โดยกรมสุขภาพจิตจึงดำเนินการ 2 ส่วน คือ 1.สนับสนุนเขตบริการระดับพื้นที่ให้มีเครื่องมือในการเฝ้าระวังและติดตามเด็กที่มีแนวโน้มความเสี่ยงด้าน iq/eq และให้การดูแลตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงพัฒนาการของเด็กในทุกช่วงวัย โดยมีเป้าหมายให้เด็กไทยมี iq เกิน 100 ในปี 2559 และ 2.ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายให้เกิดการทำงานร่วมในพื้นที่ โดยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และสถาบันราชานุกูล ในการพัฒนาระบบการจัดการเชิงพื้นที่ในการเชื่อมต่อข้อมูลและการให้บริการ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและเชาวน์ปัญญาเด็กไทย พร้อมกับพัฒนากลไกการปฏิบัติงานในพื้นที่เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษา สสค. กล่าวว่า เด็กปฐมวัยหรือช่วงอายุ 0-5 ปี เป็นช่วงสำคัญที่สมองจะพัฒนาได้มากที่สุด แต่กลับพบว่าได้รับการดูแลน้อยมาก ปัญหาสำคัญคือไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลบันทึกสุขภาพแม่และเด็กหรือสมุดสีชมพูจากโรงพยาบาลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียน ทำให้ผู้ดูแลเด็กหรือครูไม่ทราบว่าเด็กมีความผิดปกติหรือบกพร่องด้านการเรียนรู้ ทำให้ไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ หากได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงอายุดังกล่าว จะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ถึง 90% ก่อนที่จะจบป.4 ดังนั้น การที่การศึกษาของเด็กไทยล้มเหลว เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่การเรียนการสอนเสมอไป แต่ฟ้องว่าไม่มีการดูแลเด็กที่ดีในช่วงอายุ 0-5 ปี และจะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปจนโต อย่างเด็กที่เป็นสมาธิสั้นก็จะกลายเป็นเด็กก้าวร้าว และทะเลาะวิวาท กลายเป็นปัญหาสังคมในอนาคต
ดร.อมรวิชช์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยนโยบายจากส่วนกลางได้ ต้องใช้การจัดการเชิงพื้นที่ด้วย โดยการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ อาทิ สาธารณสุขจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน เป็นต้น เพื่อดูแลสุขภาพเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่โรงพยาบาล ไปยังท้องถิ่นที่ดูแลศูนย์เด็กเล็ก ไปจนถึงโรงเรียน เป็นการรับไม้ต่อด้านข้อมูลและการให้บริการ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องในพื้นที่ 4 จังหวัดแล้ว คือ เชียงราย พระนครศรีอยุธยา สุรินทร์ และภูเก็ต
“ในพื้นที่นำร่องได้มีการประสานทั้งโรงพยาบาล ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนให้มีการส่งต่อข้อมูลสุขภาพแม่และเด็กผ่านระบบคอมพิวเตอร์และออนไลน์ เด็กที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้าเมื่อไม่ได้รับการดูแลระบบจะมีการแจ้งเตือน ส่วนของบุคลากรก็พร้อมที่จะดูแลเด็กอย่างเต็มที่ หลังจากดำเนินการแล้วคาดว่า 5-10 ปีจะเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยในปี 2559 จะพบว่าพัฒนาการล่าช้าของเด็กจะลดลง ขณะที่ iq eq เฉลี่ยจะสูงกว่าเดิม” ที่ปรึกษา สสค. กล่าว
ดร.อมรวิชช์ กล่าวด้วยว่า ในกลุ่มพ่อแม่ที่มีฐานะดี หากนำเทคโนโลยีเข้ามาดูแลเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะสมก็จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กอีกทางหนึ่ง แต่หากนำมาใช้มากจนเกินไป อย่างซื้อแท็บเล็ตให้ลูกเล่นนานๆ จะส่งผลต่อพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เป็นการตรึงเด็กอยู่กับที่ ทำให้มีปัญหาในเรื่องของการเขียน การเดินและการวิ่ง เร็วๆนี้ สสค.จะทำวิจัยร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการทำวิจัยการใช้แท็บเล็ตสำหรับเด็กด้วยว่าควรมีการใช้งานในระดับใดจึงจะเหมาะสม ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า จำนวนเด็กที่บกพร่องการเรียนรู้ ประกอบด้วย สมาธิสั้น แอลดี เรียนช้า และออทิสติก มีถึง 12-13% ของประชากรเด็กทั้งหมด กว่าจะถูกคัดกรองจากระบบโรงเรียนก็สายไปเสียแล้ว จากข้อมูลสมาคมแอลดีแห่งประเทศไทยพบว่า ขณะนี้มีการคัดกรองเด็กในระบบโรงเรียนจำนวน 140,000 คน แต่ยังมีเด็กที่มีสัญญาณบกพร่องการเรียนรู้อีกถึง 900,000 คน คือมีเด็กกว่า 700,000 คนที่ขาดการดูแลอย่างถูกต้อง และมีความเสี่ยงต่อการล้มเหลวในการเรียนและการหลุดออกจากระบบการศึกษา นอกจากนี้ ในโรงเรียนยังไม่มีครูสอนเด็กบกพร่องการเรียนรู้ โดยขณะนี้มีเพียง 1 ใน 3 ของโรงเรียนหรือโรงเรียนประมาณ 10,000 แห่ง ที่มีครูไปรับการอบรมเรื่องการดูแลเด็กพิเศษเท่านั้น ดังนั้น หากมีการเชื่อมระบบข้อมูลก็จะช่วยให้ดูแลเด็กได้มากขึ้นและทันเวลา
ที่มา : หนังสือพิมพ์astv ผู้จัดการ