สธ. เตือน ระวังโรค ‘มือเท้าปาก’

พบเด็กมีไข้สูง-ซึม-อาเจียนบ่อย พบแพทย์ด่วน!!

 

 สธ. เตือน ระวังโรค ‘มือเท้าปาก’

          นายสัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า มีผู้ป่วยด้วยโรค มือ เท้า ปากเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี พบผู้ป่วยแล้วจำนวน 5 ราย เนื่องจาก สภาพอากาศเริ่มมีฝนตก สภาพแวดล้อมและภูมิอากาศอับชื้น เหมาะต่อเจริญเติบโตของเชื้อ อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ฉะนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดอุดรธานี จึงฝากเตือน พ่อ แม่ ผู้ปกครองทุกท่าน แนะนำบุตรหลานและผู้เลี้ยงดูเด็กให้เอาใจใส่เรื่องความสะอาดและสุขอนามัยส่วนบุคคล

 

          สถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ต้องจัดให้มีอ่างล้างมือและส้วมที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ ให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการกำจัดอุจจาระเด็กให้ถูกสุขลักษณะ หากพบเด็กป่วย ต้องรีบป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่น ควรแนะนำผู้ปกครองให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหยุดรักษาตัวที่บ้านประมาณ 7 – 14 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ

 

          ระหว่างนี้ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ และห้างสรรพสินค้า และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย หากมีเด็กป่วยจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องปิดสถานที่ชั่วคราว (1 – 2 สัปดาห์) และทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค โดยอาจใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนผสมกับน้ำ 30 ส่วน

 

          สำหรับอาการของโรคมือ ปาก เท้า หลังได้รับเชื้อ 3 6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการป่วย เริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1 – 2 วัน มีอาการเจ็บปากและไม่ยอมทานอาหาร เนื่องจากมีตุ่มแดงที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม ตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส ซึ่งบริเวณรอบๆ จะอักเสบและแดง ต่อมาตุ่มจะแตกออกเป็นแผลหลุมตื้นๆ จะพบตุ่มหรือผื่น (มักไม่คัน) ที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นด้วย อาการจะทุเลาและหายเป็นปกติภายใน 7 10 วัน

 

          โรคมือ ปาก เท้า ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและไม่มียาฆ่าเชื้อโดยตรง จึงควรสังเกตอาการเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบเด็กมีไข้สูง ซึม ไม่รับประทานอาหารและน้ำ อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง อาจเกิดอาการแทรกซ้อนคือ ภาวะสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือน้ำท่วมปอด ซึ่งอาจรุนแรงถึงชีวิต ควรนำเด็กพบแพทย์ทันที

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์astv ผู้จัดการ

 

 

update 18-03-52

Shares:
QR Code :
QR Code