สธ.ยันระบบการแพทย์ รับมือภัยพิบัติได้
ที่มา : เว็บไซต์เดลินิวส์
สธ.ยันระบบการแพทย์ รับมือภัยพิบัติ ยังเอาอยู่ วอนประชาชนอย่าเชื่อข่าวลือ ให้ทำตามคำแนะนำ เผยข้อดีสังคมไทยมีความเชื่อมโยงกันสูงเป็นเกราะป้องกันบาดแผลทางจิตใจ
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตั้งแต่ประเทศไทยเกิดภัยพิบัติสึนามิ เป็นต้นมา และอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นทำให้เราตระหนักได้ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ปลอดจากภัยพิบัติ จึงมีการวางแผนรับมือกับภาวะวิกฤติระดับประเทศ ซึ่งรวมถึงภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติ และน้ำมือมนุษย์ ในทางการแพทย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยได้มีการจัดเตรียมสถานพยาบาล อุกรณ์ช่วยชีวิต และทีมบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือชุดปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็ว (MERT) ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) และทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ซึ่งจัดให้มีในสถานพยาบาลทุกระดับ เมื่อเกิดเหตุทีมในพื้นที่เข้าไปก่อน ค่อยเสริมด้วยทีมรอบนอก โดยดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตและสุขาภิบาลอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งแวดล้อม เพราะหากดูแลสิ่งแวดล้อมไม่ดีอาจจะกระทบกับการเกิดโรคต่างๆ ได้ และเรื่องของจิตใจที่ต้องเฝ้าดูเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้เกิดบาดแผลในจิตใจ ซึ่ง 2 สิ่งนี้ต้องดูไปจนถึงช่วงระยะฟื้นฟู 1-3 เดือน พ้นช่วงนี้บางคนก็กลับสู่ภาวะปกติ บางคนอาจทำใจไม่ได้ก็ต้องดูแลต่อ
เมื่อถามว่าตอนนี้เมืองไทยเกิดภัยพิบัติหลากหลาย และเกิดพร้อมกันหลายพื้นที่ เกือบครึ่งประเทศการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพียงพอหรือไม่ พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า ในระยะหลังเราเผชิญภัยพิบัติมาทุกรูปแบบ จึงมีการเซตระบบรองรับภัยพิบัติหมู่ ที่มีผู้ประสบภัยจำนวนมากเอาไว้ และทำงานร่วมกับทีมแพทย์ทุกหมู่เหล่าดังนั้นตอนนี้ยังไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องพูดคุยกัน วางแผน และซักซ้อมกันมากขึ้น เพราะปัจจุบันเมืองไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก การช่วยเหลือกรณีภัยพิบัติก็มีความซับซ้อนขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการสื่อสารให้สังคมรู้ว่าอุบัติภัยสามารถเกิดขึ้นได้การเตรียมรับมือตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุการณ์ดีที่สุด ประชาชนอย่าตื่นตระหนก อย่าเชื่อข่าวลือแต่ติดตามจากหน่วยงานที่เกี่ยวกับระบบการเตือนภัยของประเทศเป็นหลัก ปฏิบัติตามคำแนะนำ โดยยึดหลักความปลอดภัยมาเป็นที่หนึ่ง
เมื่อถามต่อว่าภัยพิบัติที่ผ่านมามักเกิดในพื้นที่เดิม สภาพจิตใจของประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติเป็นอย่างไรบ้าง รองปลัดกระทรวง กล่าวว่า เรื่องภัยพิบัติน้ำท่วมเกิดมานาน อย่างเช่นที่จ.อยุธยา
ซึ่งรู้แน่ว่าท่วมทุกปี ดังนั้นคนในพื้นที่หากไม่ย้ายออกก็จะมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ ตรงนี้ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ อาจจะมีบ้างเรื่องความกังวล จากการวิเคราะห์พบว่าชุมชนคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการปรับแผน และดูแลกันเอง แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่พบว่าชุมชน และคนในชุมชนเกิดความตึงเครียด สำหรับภัยพิบัติอื่น มีกรณีตัวอย่างใหญ่สุดคือสึนามิมีการติดตามสุขภาพจิตระยะ 2 ปี 5 ปี และ 10 ปีพบว่าเปอร์เซ็นต์คนที่ปรับตัวไม่ได้หลังพ้นเหตุการณ์แล้ว หรือการเกิดบาดแผลทางจิตใจมีไม่มาก ที่น่าสนใจเพราะว่าสังคมไทยมีความเชื่อมโยงกันสูงมาก ทำให้มีปัญหานี้น้อยเมื่อเทียบกับสังคมแบบต่างคนต่างอยู่ แต่ที่กังวลคือซึมเศร้า และ ติดสุรา หรือแอลกอฮอล์ลิซึม ที่พบได้มากกว่า เป็นเรื่องที่ต้องดูแลกันต่อไป การดูแลที่สำคัญคือ 2 สัปดาห์แรกที่ประสบเหตุ.