สถานการณ์ “ความอ้วน” ภัยร้ายที่น่ากลัว

แนวโน้มอาจเพิ่มสูงขึ้น ถ้าไม่คิดดูแลตัวเอง

 

 สถานการณ์ “ความอ้วน” ภัยร้ายที่น่ากลัว

     วันที่ 23 ธ.ค.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับองค์การอาหารและยา (อย.) และเครือข่ายคนไทยไร้พุง จัดแถลงข่าว โฆษณาลดอ้วนไร้มาตรฐานปี 52” เพื่อร่วมกันประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการลดความอ้วนสำหรับประชาชน พร้อมกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากโรคอ้วน และการเข้าใจผิดถึงวิธีการลดความอ้วนด้วยอาหารเสริมหรือเครื่องมือที่ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค ณ ลานกิจกรรรม สสส. ชั้น 35 อาคารเอส.เอ็ม.ทาวเวอร์ 

 

     พญ.ชนิกา ตู้จินดา ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในประเทศไทยพบเด็กอ้วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลา 5 ปี จากปี 2539 ถึง ปี 2544 เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าร้อยละ 40 ส่วนในเด็กนักเรียนอนุบาลและประถมศึกษามีแนวโน้มอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.3 ในปี 2544 เป็นร้อยละ 15 ในปี 2550 โดยโรงเรียนในกรุงเทพมหานครมีสถิติอ้วนสูงสุดถึงร้อยละ 20 โรคอ้วนในเด็กเป็นต้นเหตุของปัญหาเรื่องสุขภาพ ร้อยละ 30 – 80 ของเด็กเหล่านี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน และป่วยด้วยโรคหัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง และโรคต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย

 

     “เนื่องจากวัยรุ่นชอบเลียนแบบทำตามดาราที่ตัวเองชื่นชอบ เพราะอยากจะมีรูปร่างที่ผอมเพรียว จึงทำให้เด็กและวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพร และยาลดน้ำหนักมาใช้เอง ซึ่งส่วนใหญ่ฟังคำบอกเล่าของเพื่อน หรือหลงเชื่อโฆษณาที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เพราะฉะนั้นผู้ปกครองและครูจึงต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเด็ก พญ.ชนิกากล่าว

 

     ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ทาง อย. ได้มีการตรวจพิสูจน์อาหาร พบ ไซบูทรามีน ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษลักลอบใส่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 5 รายการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร lady slend  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร vite slend  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร balance  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนัก บอดิ บาลานซ์  และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไวท์แลนด์ ซึ่งการกระทำความผิดส่วนใหญ่ที่พบคือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเลขสารบนอาหารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง และแสดงฉลากเพื่อลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าได้รับเลขสารบนอาหารแล้ว และนอกจากนั้นเรายังตรวจพบสาร ไซบูทรามีน ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย

 

     “ที่ผ่านมาทาง อย. ได้มีการดำเนินการอย่างเข้มงวดแต่ผลิตภัณฑ์บางชนิดก็ยินยอมให้จับและเสียค่าปรับ เพราะผลที่ได้จากการโฆษณาคุ้มค่ามากกว่าเงินที่ถูกปรับ ดังนั้นจึงทำให้ปัญหาดังกล่าวขยายตัวมากขึ้น ซึ่งล่าสุดได้มีการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ (ศรร.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือมีการโฆษณาเกินจริง หากมีเบาะแสหรือพบเห็นการโฆษณาสินค้าที่เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค สามารถแจ้งได้ที่ โทร 1556 หรือ ตู้ ปณ 1556 อ.เมือง จ.นนทบุรี นพ.พิพัฒน์กล่าว

 

     ศ.พญ.วรรณี นิธิยานันท์ ประธานเครือข่ายคนไทยไร้พุง กล่าวว่า เครือข่ายคนไทยไร้พุงได้มีการรณรงค์ให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีมีน้ำหนักและรอบพุงอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยใช้หลัก 3 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง และเนื่องจากสถิติเด็กอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกรุงเทพมหานคร เครือข่ายคนไทยไร้พุงจึงได้จัดทำโครงการ โรงเรียนไร้พุง โดยร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ นำร่องในโรงเรียนพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9 แห่ง และอนาคตจะกระจายไปทั่วประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์การสร้างเด็กไทยไร้พุง ซึ่งประกอบด้วย 4 มาตรการคือ การจัดทำระบบข้อมูลพัฒนาการทางกายของนักเรียน ปรับปรุงการบริการด้านโภชนาการ ส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการสร้างแนวร่วมเป็นพลังสู่ความยั่งยืน

 

     ด้าน ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การซื้ออาหารเสริมหรือยาลดความอ้วนมาทานเองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าอยากลดน้ำหนักก็ต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่น้อย มีโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ทานต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม สิ่งที่สำคัญที่สุดควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ติดมัน อาหารทอด และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทานยาลดความอ้วน

 

     ศ.นพ.สุรัตน์ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันวิธีการ และเทคนิคการลดน้ำหนักพัฒนาไปอย่างมาก เพื่อให้แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยสามารถติดตามเทคโนโลยีได้ทัน ทางกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันฝึกอบรมแพทย์ และสสส. จึงจัดการประชุมทางวิชาการระดับนานาชาติ “obesity summit thailand 2010” ขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 6 กุมภาพันธ์ 2553 ณ โรงแรมเซ็นทาร่า แกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แอทเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในด้านวิชาการ การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะอ้วนที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยยกระดับและเพิ่มทักษะของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคอ้วน ซึ่งจะช่วยให้มาตรฐานคลินิกลดน้ำหนักในประเทศไทยดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งให้ความรู้แก่ภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และควบคุมน้ำหนักอย่างถูกต้องอีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.obesitysummit2010.com หรือเบอร์โทรศัพท์ 02-201-2211 ต่อ 237

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: วชิราภรณ์ ฤทธิ์สมบูรณ์ team content www.thaihealth.or.th

 

 

 

update: 30-12-52

   อัพเดตเนื้อหาโดย: วชิราภรณ์ ฤทธิ์สมบูรณ์  

Shares:
QR Code :
QR Code