‘วิ่งสมาธิ’ ประโยชน์คูณสองของชีวิต
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
"จิตที่แข็งแกร่งอยู่ในกายที่ แข็งแรง จิตจะแข็งแรงได้ต้องสงบนิ่ง ส่วนกายจะแข็งแรงได้ต้องเคลื่อนไหว"
จากข้อความดังกล่าวข้างต้น ทำให้เราเห็นความผกผันระหว่าง จิต กับ กาย ที่มักจะสวนทางกันซึ่งน่าจะเป็น "คำเตือน" ให้เราสำนึกรู้อยู่ตลอดเวลาในการ บริหารจิต และกาย เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและเกิดสมรรถภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ในวันวิสาขบูชา ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายชมรมเดิน-วิ่ง เพื่อสุขภาพไทย จัดงาน เดินวิ่งสมาธิ วิสาขะ พุทธบูชา ถือศีลห้า ลด ละ อบายมุข ครั้งที่ 16 ประจำปี 2560 ซึ่งจัดขึ้นทั่วประเทศเป็นประจำทุกปี และในปีนี้จัดในพื้นที่ทั้งหมด 58 จังหวัด จำนวน 80 สนาม มีนักวิ่งเข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 50,000 คน จุดประสงค์ของการจัดงานเดิน-วิ่งสมาธิ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพกายและจิตที่ดีผ่านการมีกิจกรรมทางกายด้วยการเดินหรือวิ่ง ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ในงานนี้ อาจารย์ณรงค์ เทียมเมฆ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย สสส. อธิบายถึงความพิเศษของการวิ่งในวันวิสาขบูชาว่า เป็นการนำเรื่องสมาธิเข้ามาผนวกกับการวิ่ง กลายเป็น "วิ่งสมาธิ" (Jogging Meditation) ที่มีการกำหนดลมหายใจไปพร้อมๆ กับการวิ่งด้วย ซึ่งบางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นของแปลกใหม่ และมองว่าไม่น่าจะไปด้วยกันได้ แต่ความจริงแล้วการวิ่งสมาธิเป็นที่รู้จักในหมู่นักวิ่งมานานนับสิบปีแล้ว โดย คอนเซ็ปต์ของการวิ่งสมาธิคือเรื่องกายและจิตจะต้องอยู่ด้วยกัน กายจะแข็งแรงต้องออกกำลังกาย เช่น การวิ่งเป็นต้น ส่วนจิตจะแข็งแกร่งก็ต้องฝึก การฝึกจิตก็คือการฝึกทำสมาธิ ถ้าฝึกทำบ่อยๆ ทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยสติและสมาธิ ก็จะทำให้กายแข็งแรงจิตแข็งแกร่ง จึงเป็นที่มา ของการเน้นว่าในการที่เราจะมาวิ่งในวันสำคัญ อย่างนี้เราจะต้องมีสมาธิเป็นแก่น ที่ผ่านมา สสส.มีการฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องการวิ่งสมาธิในหลากหลายวิธี แต่สำหรับปีนี้ มีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
อาจารย์ณรงค์ เทียมเมฆ ขยายความ ให้ทราบต่อไปว่า การฝึกอบรมจะใช้หลัก การฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา โดยนิมนต์ พระอาจารย์เอกชัย เป็นพระอาจารย์ สิริญาโณจ.เชียงราย มาเริ่มต้นการฝึกให้ จากนั้นเรามองว่าสมาธิ จะนำมาใช้ได้ให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร จึงเชิญดร.พิชิต เมืองนาโพธิ์ อาจารย์ภาควิทยาศาสตร์การกีฬา คณะพลศึกษา ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งถือเป็นนักจิตวิทยา ระดับต้นของเมืองไทยมาบรรยายเรื่องการเชื่อม สมาธิในพระพุทธศาสนากับการออกกำลังกาย จากนั้นก็ให้วิทยากรของเราเช่น ครูดิน-สถาวร จันทร์ผ่องศรี ไปสอนในสวนสาธารณต่างๆ ถ้าเราวิ่งอย่างมีสมาธิ เราก็จะวิ่งอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และถ้าไปถึงนักวิ่งเพื่อการแข่งขัน เขาก็สามารถวิ่งไปจนถึงรู้สึก ความพลิ้ว อ่อนไหวของร่างกาย นำไปสู่สมรรถภาพ ของร่างกายและจิตใจที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ในแต่ละปี การจัดงานวิ่งในเมืองไทยมีมากกว่า 700 รายการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการแข่งขันมุ่งหวังที่ตัวรางวัล แต่การวิ่งสมาธิไม่มีการแข่งขัน แต่ "จุดประสงค์" ของการวิ่งสมาธิในทุกปีคือเราไม่มาแข่งขัน แต่เรามา ทำบุญ มารับศีล มาฟังธรรม แล้วก็อาจจะเวียนเทียน เท่ากับว่า วันนี้เป็นการทำบุญใหญ่ประจำปี เหมือนเป็นการ ชำระล้างใจ กาย ของเราให้สว่าง สะอาด สงบ
คุณอาศิรา พนาราม พนักงานบริษัท อายุ 39 ปี นักวิ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งสมาธิเป็นครั้งแรก กล่าวว่า งานเดิน-วิ่งสมาธิจะแตกต่างจากบรรยากาศงานวิ่งอื่นๆ ที่เคยร่วม งานนี้จะไม่มีการแข่งขัน มีแต่ความน่ารัก และการเตรียมกายเตรียมใจให้กับนักวิ่งด้วยการสวดมนต์ก่อนวิ่ง ซึ่งทำให้จิตใจสงบ ซึ่งโดยส่วนตัวยังไม่แน่ใจว่าการวิ่งช่วยเรื่องสมาธิหรือเปล่า เพราะเป็นคนสมาธิดีอยู่แล้ว แต่ที่แน่ๆ การวิ่งช่วยเรื่องความมุ่งมั่น ให้ทำบางสิ่งบางอย่างอย่างต่อเนื่องให้ได้ พอคิดว่าจะวิ่ง แล้วก็มีอะไรบางอย่างที่เราจะต้องทำให้ได้ เหมือนทำให้เรามีแรงฮึดขึ้นในเรื่องอื่นๆ ด้วย ขณะที่วิ่งก็จดจ่อกับร่างกายให้มากที่สุด ไม่ฟุ้งซ่าน พยายามจดจ่อกับร่างกายของเราว่าเราวิ่งถูกต้องไหม เกร็งหรือเปล่า หายใจยังไง มันไม่ได้ทำให้เหนื่อยน้อยลง แต่มันทำให้เราอยู่กับมันได้นานขึ้น
ผศ.สุรางคนา ณ นคร อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารการตลาด คณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ซึ่งมาร่วมเดินวิ่งระยะทาง 5 กม. กล่าวว่า เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้มาวิ่งในลักษณะแบบนี้ ซึ่งบรรยากาศในตอนเช้าก่อนวิ่งมีนำสวดมนต์ มีพระสงฆ์คอยประพรมน้ำมนต์ให้กับเหล่านักวิ่ง ทำให้รู้สึกดีและนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับวันวิสาขบูชา เชื่อว่าคนที่มาวิ่งทุกคนจะมีความตั้งจิตตั้งใจดีที่จะทำสิ่งดี ปฏิบัติดี วันนี้เรามาเริ่มด้วย 5 กม. เป็นครั้งแรกยังไม่อยากหักโหม ปกติเดินเร็วและปั่นจักรยานมากกว่า แต่พอมาวิ่งแล้วก็รู้สึกชอบ บรรยากาศ ผ่อนคลาย อากาศกำลังดี สำหรับตัวเองคิดว่าสมาธิกับการวิ่ง นำมาเชื่อมโยงกันได้ เพราะถ้าจิตเรามีสติอยู่ ขณะวิ่งก็รู้ว่าเรากำลังวิ่ง มันก็ทำให้เบิกบาน ไม่ได้รู้สึกทุกข์เพราะเรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ได้วิ่งเอาเป็นเอาตาย เพียงแค่ทำให้สติอยู่กับการวิ่งมันช่วยได้
แม้จิตและกายจะมีความต้องการที่แตกต่างกัน มีการสร้างสภาวะที่ตรงกันข้าม แต่หากเราสามารถนำสภาวะที่ตรงกันข้ามให้เข้ามาเป็น น้ำหนึ่งใจเดียวกัน มันก็คือการสร้างความสมดุลให้เกิดกับชีวิตนั่นเอง