วิธีเปลี่ยนพฤติกรรม “ลดหวาน” ง่ายๆ
ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข ประจำเดือนมกราคม 2561
แฟ้มภาพ
ค่อยๆ ลด ความหวานลงที่ละน้อยให้รู้สึกว่าไม่ทรมานตัวเองมากเกินไป เช่น การปรุงก๋วยเตี๋ยว จากเดิมที่เคยใส่น้ำตาล ที่ละมากๆ ก็ควรปรับลดลงเรื่อยๆ อย่าหักดิบแบบกะทันหัน เพราะ ร่างกายจะไม่ยอมรับและทำได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยมากจะใช้เวลา 1-2 เดือน ร่างกายจะชินกับความหวานน้อยและอร่อยเหมือนเดิม
คาถาลดหวาน หัดพูดให้ติดปากบอกพ่อค้า แม่ค้า ในการประกอบอาหารว่า “ไม่หวาน” ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม หรือ อาหารที่ต้องมีการปรุงรส หรือ เลือกอาหารที่เห็นว่าไม่มันมากจนเกินไปเพราะจะมีรสหวานพ่วงมาด้วย
ดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก พยายามอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ เนื่องมาจากหากร่างกายขาดน้ำจะทำให้รู้สึกหิวและเพิ่มความอยากความหวานมากขึ้น การดื่มน้ำเปล่าประมาณ 1 แก้ว เมื่อรู้สึกอยากความหวานจะช่วยลดความอยากลงได้
เลือกรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ข้าวกล้อง เลือก ผลไม้รสชาติไม่หวาน เพิ่มเติมอาหารประเภทถั่วฝัก ถั่วเปลือกแข็ง ใยอาหารจะช่วยลดความอยากความหวาน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดลงได้ด้วย
เช็คสัญญาณ อาการติดหวาน
– รู้สึกอยากขนมหวานที่ตัวเองชอบเรื่อยๆ
– รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี เมื่อไม่ได้กินอาหารหรือขนมที่มีส่วนประกอบของแป้งหรือน้ำตาล
– รู้สึกหิวบ่อย
– คิดถึงอาหารอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าเพิ่งกินอาหารเสร็จ
– มีนิสัยกินอาหารหวานต่อจากอาหารคาวเป็นประจำ
– มีของติดตู้เย็นที่เป็นของหวานอยู่ตลอด
– ชอบผลไม้รสหวาน เช่น มะละกอ ทุเรียน สับปะรด
– ชอบผลไม้แห้ง ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม
– ชอบอาหารกลุ่มซีเรียลเคลือบนน้ำตาล
– ทำอาหารทุกจานต้องเติมน้ำตาล เช่น ไข่เจียวเติมน้ำตาล ทำพริกน้ำปลาเติมน้ำตาล
– ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ เพราะมีอาหาร เครื่องดื่มและของหวาน
– ในมื้ออาหารมักจะเลือกดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำเปล่า