วิธีคลายเครียด
ที่มา : มูลนิธิหมอชาวบ้าน
แฟ้มภาพ
ความเครียดในระดับต้นๆ นั้นสามารถคลี่คลายด้วยตนเองได้ แต่หากไม่ได้รับการดูแลแก้ไขจนถึงขั้นเป็นโรคจิตโรคประสาทมีแต่ต้องพบจิตแพทย์เพื่อบำบัด
ความเครียดหากเป็นไม่มาก ร่างกายจะตอบสนองธรรมดาคือ มีความดันเลือดสูงนิดหน่อย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งไม่จำเป็นต้องพบจิตแพทย์ สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้โดย
1. เมตตาธรรม
วิธีแก้ไขด้วยตนเองได้ดีที่สุดคือ ธรรมโอสถ คือ ยาทางธรรม ซึ่งของศาสนาใดก็ไม่แตกต่างกัน ศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข ธรรมโอสถในที่นี้คือ เมตตาธรรม
เมตตา คือ ความรู้สึกอยากให้ผู้อื่นมีความสุข
คนที่มีความทุกข์ความเครียดมักคิดแต่เรื่องของตนเอง มีความคิดว่าทำอย่างไรตนเองจึงจะมีความสุข ร่ำรวย ได้ลาภ ได้ยศ ฯลฯ คนเหล่านี้เครียดเพราะคิดถึงตนเอง แต่ความเมตตามุ่งให้ผู้อื่นมีความสุข ไม่มองแต่ตนเอง ดังนั้นความคิดถึงตนเองน้อยลง ความเครียดที่เกิดจากความทุกข์ก็น้อยลง
นอกจากนี้เมตตาธรรมยังไม่ต้องซื้อหา มีเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องให้หมอเป็นผู้สั่งหรือเป็นผู้ปรุง สามารถปรุงแต่งด้วยตนเองได้ เมตตาก่อให้เกิดผลดี 3 ด้านคือ
- (1) ต่อร่างกาย คนที่มีความเมตตาใจจะสงบ เกิดความปีติสุข ฮอร์โมนสารทุกข์จะหลั่งน้อยลง ตรงกันข้ามฮอร์โมนสารสุขเอนดอร์ฟีนจะหลั่งมากขึ้น จิตใจแจ่มใส ใจที่เคยร้อนก็สงบ ความเครียดลดลง ภูมิต้านทานในร่างกายสูงขึ้น
- (2) มีเสน่ห์ ผู้มีเมตตาผิวพรรณจะผ่องใส ผิดกับคนที่เครียดมีความทุกข์ ผิวพรรณจะหมองคล้ำ หน้าตาเครียดเกร็ง หลังโก่งงอ ซึมกระทือ แต่ผู้มีเมตตาเมื่อจิตใจดีสุขภาพกายดีก็สามารถยิ้มได้ ไม่โกรธ ย่อมนับเป็นเสน่ห์ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็ดี
- (3) สมรรถภาพการทำงานดี เมื่อมีเมตตาจิตใจสงบสมาธิจึงเกิด ทำให้สมองแจ่มใส ความจำดี ปัญญาดี สมรรถภาพในการทำงานก็ดีขึ้น
ความเมตตาอาจไม่สามารถทำได้โดยง่าย แรกๆควรเริ่มจากการแผ่เมตตาก่อน ดังนี้ “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง” เมื่อแผ่เมตตาอย่างสม่ำเสมอ ความเมตตาจะเกิดขึ้น โดยไม่ต้องบังคับปฏิบัติ
2. การออกกำลังกาย
เรารู้กันมานานแล้วว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนสารสุขเอนดอร์ฟีนออกมา ซึ่งเป็นตัวทำลายฮอร์โมนสารทุกข์ทิ้งได้ การออกกำลังกายควรเป็นแบบแอโรบิกเอ็กเซอร์ไซด์ คือ การออกกำลังกายที่ร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่ตลอดเวลา เป็นจังหวะการเล่นที่คงที่สม่ำเสมอ ไม่เบาไปจนไม่ได้ผล หรือไม่หนักไปจนกระทั่งเป็นอันตราย เช่น การเดินเร็วๆ วิ่งช้าๆ ว่ายน้ำประเภทที่ไม่แข่งขัน ถีบจักรยาน เต้นแอโรบิก ฯลฯ
การออกกำลังกายนับเป็นวิธีคลายเครียดที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะประหยัด เสียสตางค์น้อย และได้ผล การจะออกกำลังกายให้ได้ผลควรออกสม่ำเสมอวันละประมาณ 30 นาที นอกจากทำให้คลายเครียดแล้วสุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกด้วย
3. การปฏิบัติสมาธิ
คนที่เข้าสมาธิ ระหว่างนั้นใจจะสงบปริมาณการใช้ออกซิเจนน้อยลง ชีพจรเต้นช้าลง หัวใจเต้นช้าลง ฮอร์โมนสารทุกข์ก็หลั่งน้อยลง แต่ฮอร์โมนสารสุขหลั่งมากขึ้น ความเครียดจะค่อยๆหายไป
เมื่อพูดถึงสมาธิอาจรู้สึกว่าปฏิบัติได้ยาก การปฏิบัติสมาธิไม่จำเป็นต้องปฏิบัติถึงขั้นกรรมฐาน เพียงแค่อาณาปาณสติ คือ การควบคุมลมหายใจ โดยใช้สติควบคุมลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเอง ฉะนั้นเครียดเมื่อไหร่ก็หายใจเข้าออกช้าๆ แล้วเอาสติเป็นตัวกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้ารู้ตาม หายใจออกรู้ตาม ก็สามารถช่วยได้
การปฏิบัติสมาธิมีแต่กุศลกรรม ถึงแม้ไม่เครียดก็ควรปฏิบัติเป็นกิจวัตร ช่วยให้จิตใจเข้มแข็งเบิกบาน
นอกจากนี้ไม่ควรทำอะไรซ้ำซากจำเจ เพราะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความเครียด หากทำงานประเภทซ้ำซาก เช่น คอมพิวเตอร์ บัญชี ฯลฯ ประมาณ 30 นาที หากิจกรรมผ่อนคลายยืดเส้นยืดสาย เช่น หายใจเข้าออกช้าๆลึกๆ หันไปมองสีเขียว ดื่มน้ำสักแก้ว
วิธีคลายเครียดทั้ง 3 วิธีที่เสนอมานับว่าเหมาะกับยุคสมัยที่ยุ่งเหยิงนี้โดยแท้ เพราะเป็นวิธีที่เรียบง่าย ใครๆก็สามารถปฏิบัติได้ ไม่ว่ายากดีมีจน ศาสนาอะไร ผิวสีอะไร และยังประหยัดไม่สิ้นเปลือง นอกจากใช้แก้ไขแล้วยังใช้ป้องกันได้อีกด้วย