วิถีชุมชนจักรยานการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่าน 2 ล้อ
ที่มา : เนชั่นสุดสัปดาห์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
แนวคิดการใช้จักรยานในชีวิต ประจำวัน ค่อนข้างมีความต่างกันมากกับกระแสที่คนกำลังชอบปั่นจักรยาน เพื่อออกกำลังกายอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งการออกกำลังกายนั้นไม่ใช่เรื่องผิดและถือเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น หากแต่เรื่องการนำจักรยานมาใช้ในชีวิตประจำวัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหม่ในสังคมบ้านเรา ทั้งๆ ที่การใช้จักรยานเป็นเรื่องเดิมและคนส่วนมากก็ปั่นจักรยานเป็น
แต่พักหลังไม่ค่อยมีใครหยิบจักรยานเก่าที่บ้านมาใช้ อาจด้วยเหตุผลของความไม่ทันสมัย เพราะพาหนะสำหรับการเดินทางใหม่ๆ ได้เข้ามาแทนที่ ทั้งรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งในระดับชุมชนที่คนไม่ค่อยสนใจจะปั่นจักรยานเพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของโครงการชุมชนจักรยานเพื่อสุขภาวะ ซึ่งมี 80 ชุมชนจากทั่วประเทศที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ โดยมีชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย เป็นพี่เลี้ยงคอยเชื่อมประสานและพัฒนาศักยภาพภาคี รวมถึงการคอยกระตุ้นชุมชนที่เข้าร่วมให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อารดินทร์ รัตนภู ผู้จัดการโครงการ ได้เล่าแนวคิดให้ฟังว่า "ชุมชนจักรยานคือการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน เป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านนำจักรยานที่มีอยู่ออกมาใช้ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องออกกำลังกาย แต่เป็นการทำให้คนหันกลับมาทบทวนตัวตนของตนเอง เพราะคนที่ใช้จักรยานจะเป็นชีวิตที่ค่อยๆ ไป เวลาปั่นก็สามารถคุยกัน ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งการดำเนินโครงการของเราก็เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้คนใช้จักรยานมากขึ้น ให้หน่วยงานที่ดูแลปรับปรุงโครงสร้าง ทำยังไงก็ได้ให้มีถนนหรือองค์ประกอบที่เอื้อต่อจักรยาน เช่น มีที่จอด ที่ซ่อม รวมถึงเห็นความสำคัญที่เป็นแนวนโยบาย ให้มันสอดคล้องกับบริบทชุมชนหรือเมืองนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของความยั่งยืน ทำให้คนไม่ฟุ่มเฟือย และเข้าถึงรากเหง้าของตนเอง"
การสร้างกระแสแบบยกแผงภายใต้โครงการ ชุมชนจักรยานเพื่อสุขภาวะ ทำให้คนที่มีใจตรงกันในแต่ละชุมชนจากทั่วประเทศได้มีโอกาส พบปะ พูดคุย เพื่อทบทวนเป้าหมายและวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน โดยทีมสนับสนุนจากส่วนกลางจะเคลื่อนพลไปแต่ละภูมิภาค เพื่อชวนแต่ละชุมชนมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ที่ถือเป็นการถอดบทเรียนการดำเนินงานหลังจากที่แต่ละชุมชนได้ดำเนินโครงการไประยะหนึ่ง เหมือนอย่างเวทีภาคอีสานที่ถูกจัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวทีติดตามผลการดำเนินงานเวทีสุดท้ายในระดับภูมิภาค และมีชุมชนทั่วภาคอีสานทั้งหมด 23 ชุมชน เข้าร่วมในเวทีครั้งนี้
ในส่วนแนวทางการดำเนินงานของแต่ละชุมชนนั้น อารดินทร์ รัตนภู ยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่า "โครงการมีการเก็บข้อมูล เพราะอย่างแรกทุกคนต้องรู้ว่า ใครใช้จักรยาน เพศไหน วัยไหน นอกจากนี้ยังต้องสำรวจข้อมูลความต้องการ พอรู้ความต้องการแล้วมันจะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้คนใช้ เพราะในขณะที่สำรวจข้อมูล คนสำรวจก็จะได้เข้าไปสื่อสารความสำคัญของการใช้จักรยาน ที่เป็นทั้งทำความเข้าใจและได้ข้อมูล หลังจากนั้นแต่ละชุมชนก็จะคืนข้อมูลเพื่อให้คนที่มีหน้าที่จัดสรรนโยบายในแต่ละท้องถิ่นมาคิดต่อว่าควรทำอะไร เช่น การปรับบริบทโครงสร้างพื้นฐาน ผังเมือง เพราะการสำรวจข้อมูลจะทำให้เราจะเห็นรูปแบบการวางผังเมืองว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เพื่อให้เกิดการปรับปรุงและสร้างกติกาให้เกิดการใช้จักรยานในพื้นที่ หรือบางพื้นที่อาจไม่ต้องปรับโครงสร้างก็ได้ แต่ให้มาเติมความรู้สึกและสร้างความเชื่อมั่นว่าพอเขาใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแล้วเขาจะปลอดภัย"
อีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนชุมชนภาคอีสานที่เข้าร่วมโครงการและได้ดำเนินงานจนเกิดรูปธรรมที่ชัดเจน ที่สามารถสร้างความตื่นตัวในระดับชุมชนให้คนในพื้นที่หันมาใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน อย่างที่ ชุมชนโคกเพชร ต.โคกเพชร อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้ดำเนินโครงการและเข้าร่วมเวทีถอดบทเรียนในระดับภาคอีสาน นำโดย เพ็ญทิวา สารบุตรนักวิชาการสาธารณสุขจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโคกเพชร ก็ได้เล่าภาพการทำงานในพื้นที่ให้ฟังด้วยเช่นกันว่า "ตำบลโคกเพชรเป็นตำบลกึ่งชนบทกึ่งเมือง ห่างจากตัวเมือง 14 กิโลเมตร ที่ผ่านมาเห็นคนในหมู่บ้านมีจักรยานแต่เขาไม่ค่อยนำออกมาใช้เพราะส่วนมากจะใช้มอเตอร์ไซค์ เพราะบางคนรู้สึกอายที่จะใช้จักรยาน โดยเฉพาะจักรยานเก่าๆ มักถูกเก็บไว้หลังบ้าน ไม่นำออกมาใช้"
หลังจากชุมชนโคกเพชรได้ดำเนินโครงการที่พยายามสร้างความเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับชุมชนจักรยาน ผ่านกิจกรรมประชุมทำความเข้าใจ ที่เป็นเหมือนการแสวงหาการมีส่วนร่วม และการเก็บข้อมูลสภาพการใช้จักรยาน รวมถึงการเล่าภาพฝันให้กับชาวบ้านและผู้นำฟัง ผ่านวงประชุมธรรมชาติทั้งตามงานบุญในวัด หรืองานอื่นๆ เท่าที่มีโอกาส รวมถึงทำกิจกรรมชวนชาวบ้านออกมาปั่นเพื่อสร้างกระแส จนปัจจุบันคนในชุมชนเริ่มหันมาใช้จักรยานในพื้นที่ รวมถึงผู้นำท้องถิ่น อย่าง นายก อบต. และแกนนำคนอื่นๆ
ซึ่ง เพ็ญทิวา สารบุตร ได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมอย่างภูมิใจว่า "จริงๆ นายกฯ ชอบจักรยาน แต่โอกาสที่เขาจะมาปั่นไม่มี พอเรามาจุดประกายและเล่าวิธีคิดให้ฟังมันก็เลยเอื้อต่อกันและกัน และทุกวันนี้นายกฯ ก็หันมาใช้จักรยานในพื้นที่ ถ้าไม่ได้ไปประชุมที่อื่นท่านก็จะปั่นมาทำงานที่สำนักงาน ไม่เฉพาะแค่นายกฯ หากแต่รวมถึงชาวบ้านเองก็ปั่นไปนา ไปไร่ หรือบุคลากรหน่วยงานราชการอื่นๆ ก็เริ่มปั่นไปทำงาน รวมถึงปั่นไปตลาด ซึ่งเมื่อก่อนชาวโคกเพชรไม่เคยคิดจะปั่นจักรยานไปตลาด เพราะระยะทาง 14 กิโลเมตร แต่พอมีกระแสตอนนี้มีชาวบ้านปั่นไปตลาด ปั่นไปคุยไป หัวเราะ ยิ้ม มันคือความสุขของทุกคน ได้ทั้งสุขภาพ ความสุข ความมั่นใจ ทุกวันนี้คนกล้าใช้จักรยานมากขึ้น กล้าปั่นไปไหนต่อไหนที่ไกลขึ้นผ่าน 2 ขา และ 2 ล้อ นับเป็นภาพรวมที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้นจากการมีจักรยาน และคนที่ขับรถพอมาแถวนี้เขาจะรู้ว่าเขาต้องขับรถให้ช้าลง เพราะรู้ว่าแถวนี้มีคนใช้จักรยาน"
สิ่งสำคัญตามแนวคิดชุมชนจักรยาน ก็คือ มิติการพัฒนาสังคมผ่านการใช้จักรยาน ที่ไม่ใช่แค่ปั่น หากแต่รวมถึงการเดิน ตามคอนเซปต์ที่ว่า เดินไปปั่นไป พอเหนื่อยจากปั่นก็เดิน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นวิถีเดิมที่มีอยู่ แค่เรามาย้อนอดีตในการใช้และมีการปรับระบบ โดยใช้จักรยานมาเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนาชุมชนที่เติมกระบวนการทางสังคมเข้าไป และสร้างแผนงานหรือนโยบายผ่านแกนนำที่เข้าใจแนวคิดชุมชนจักรยาน ซึ่งถือว่านี่คือการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะถ้ามองเรื่องจุดคุ้มทุนในมิติทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็ถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ที่ไม่ได้มองแค่เรื่องสุขภาพ หรือการออกกำลังกายเท่านั้น หากแต่มันคือการศึกษาทุนวิถีเดิมที่มีอยู่เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เชื่อมโยงเรื่องอื่นๆ อาทิ เรื่องพลังงาน สิ่งแวดล้อม สังคม
เหมือนกับที่ เพ็ญทิวา สารบุตร ได้กล่าว ทิ้งท้ายว่า "สุดท้ายมันกลายเป็นความภาคภูมิใจของคนใช้จักรยาน เพราะเมื่อก่อนคนปั่นจักรยานคิดว่าตัวเองจนไม่มีเงินซื้อมอเตอร์ไซค์ แต่ปัจจุบันคนที่ใช้จักรยานมีความภูมิใจเพราะมันเป็นเสมือนคนที่คืนผลประโยชน์ให้กับชุมชน อย่างน้อยไม่ได้สร้างมลพิษ ลดรายจ่าย เป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อให้ชุมชนน่าอยู่ ซึ่งสอดรับกับแนวทางของชุมชนที่อยากให้เป็น"