วัยรุ่นยุคใหม่ คิดให้เป็น เอาตัวรอดให้ได้

ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข


จิตแพทย์และนักวิชาการด้านเด็กและเยาวชนเผย หมดยุคท่องจำไปสอบ อยู่โลกใหม่ ต้องคิดเป็น เอาตัวรอดในชีวิตจริงได้


วัยรุ่นยุคใหม่ คิดให้เป็น เอาตัวรอดให้ได้ thaihealth


นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์และนักวิชาการด้านเด็กและเยาวชน กล่าวในงานเสวนา “ความเหลื่อมล้ำมีผลต่อทักษะสมองของเด็กไทย?” ซึ่งจัดโดยสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์การ UNICEF ประเทศไทย ว่า ระบบการศึกษาแบบเดิมๆ ที่เน้นหนักการเรียนวิชาการ ท่องจำ กวดวิชาแล้วไปสอบ ไม่ใช่คำตอบของชีวิตเพียงทางเดียวอีกต่อไป เพราะรูปแบบของการทำงานและการใช้ชีวิตของโลกยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม


อาทิ ในอดีตหรือศตวรรษที่ 20 ระบบการทำงานไม่ว่าอาชีพใดๆ ล้วนเป็นรูปแบบสายพาน คือทำตามขั้นตอนไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก เสร็จงานก็รับค่าจ้างเงินเดือน แต่ในศตวรรษที่ 21 รูปแบบการทำงานมีตัวแปรต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมายและซับซ้อน ซึ่งเกินกว่าที่วุฒิการศึกษาปริญญาใดๆ ไม่สามารถตอบได้ ดังจะเห็นจากกรณีที่เด็กไทยเรียนจบมาจำนวนไม่น้อยไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร และทำงานก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วิธีการเรียนแบบที่เป็นมาจึงหมดสมัยแล้ว


นพ.ประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ขณะที่ตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งคือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ที่วันนี้ทุกคนเข้าถึงได้เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือ ทำให้มีข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตเด็กมากมายทั้งด้านดีและไม่ดี และผู้ใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้ ฉะนั้นสิ่งที่เด็กยุคนี้ต้องมีคือทักษะชีวิตที่เรียกว่า Executive Functions (EF) ซึ่งเป็นความสามารถในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำของตนเองได้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตนต้องการ


 “สมัยผมเรียนหนังสือ ผมไม่ต้องมีเป้าหมาย พ่อแม่บอกให้ผมเป็นหมอ สังคมก็สั่งให้ผมเป็นหมอ เพราะเห็นว่าเก่ง แต่นั่นมันศตวรรษที่ 20 ที่ไม่ต้องมีอะไรต้องคิด ตอนนี้ไม่ใช่ บ้านไหนที่ยังกำหนดเป้าหมายให้ลูกบ้านนั้นจะเสี่ยงมาก เพราะลูกจะเจอตัวแปรสูงมาก แต่บ้านที่เลี้ยงลูกให้มีความสามารถกำหนดเป้าหมายเอง และกำหนดถูกอีกต่างหากว่าชอบอย่างนั้นอยากเป็นอย่างนี้ ชอบจริงรักจริงถูกจริงแล้วก็ไปได้จริง เราเรียกความรู้แบบนี้ว่า EF แต่นี่เป็นความรู้สมัยใหม่ ที่เราอยากให้พ่อแม่และการศึกษาสร้าง” นพ.ประเสริฐ กล่าว


นพ.ประเสริฐ ยังกล่าวอีกว่า วันนี้แหล่งเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ในโรงเรียน หรืออยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ แต่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ชายทะเล บนดอย หรือในเมือง แต่คำถามคือมีปัญญาในการใช้เทคโนโลยีให้เป็นหรือเปล่า โดยสิ่งสำคัญของทักษะ EF คือ 1.การควบคุมตนเอง เพื่อไม่ให้วอกแวกหลงไปกับกระแสของข้อมูลข่าวสารมากมายในอินเตอร์เน็ต แต่สามารถอดเปรี้ยวไว้กินหวาน มุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายหลักที่ตนเองวางไว้ได้ อาทิ ทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเล่น แม้จะมีตัวแปรอื่นๆ มายั่วยุอยู่เบื้องหน้าก็ตาม


2.ความจำใช้งาน คือความรู้ที่จดจำไว้และสามารถนำไปใช้เมื่อเจอสถานการณ์ในชีวิตได้จริงๆ ไม่ใช่แค่จำไปตอบในข้อสอบเท่านั้น ดังจะเห็นว่าวัยรุ่นมีปัญหามาก แม้จะได้เรียนเรื่องโทษภัยของอบายมุข แต่ไม่สามารถชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเมื่อพบสถานการณ์ในชีวิตจริงได้ เอาตัวรอดไม่เป็น เสมือนความรู้เก็บเข้าลิ้นชักไปใช้เพียงเวลาสอบ และ 3.ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แต่การพัฒนาทักษะ EF นั้น ทำได้ดีที่สุดช่วงอายุไม่เกิน 6 ขวบ โดยการปล่อยให้เด็กได้เล่นสนุกตามประสา ซึ่งก็คือทำกิจกรรมทางกายภาพที่เด็กได้ฝึกใช้ประสาทสัมผัส


นพ.ประเสริฐ กล่าวย้ำว่า แต่การพัฒนาศักยภาพคนตามแนวทาง EF นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากภาครัฐและสังคมไทยไม่เข้าใจและไม่ส่งเสริม อาทิ 1.การอ่านนิทานให้เด็กเล็กๆ ฟัง แม้จะมีข้อค้นพบว่าพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กได้ แต่หนังสือนิทานเด็กยังมีราคาแพง พ่อแม่ที่มีกำลังทรัพย์น้อยหรืออยู่ในชนบทเข้าถึงได้ยาก ดังนั้นรัฐต้องเข้ามาอุดหนุน ถือเป็นสวัสดิการให้เด็กทุกคน 2.การลางานของพ่อแม่ได้ใน 3 ปีแรกของลูกโดยไม่กระทบต่อรายได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปรับปรุง


3.เด็กต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรให้อยู่กับหน้าจอ ไม่ว่าโทรทัศน์หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ก็ตาม เรื่องนี้พ่อแม่ต้องเข้าใจด้วย เพราะภาพเคลื่อนไหวในจอนั้นกระทบต่อพัฒนาการทางสมองอย่างมาก 4.ก่อนอายุ 7 ขวบ ไม่เน้นการเรียนหนังสืออ่านเขียน ให้เล่นสนุกตามประสาเด็กเป็นหลัก เพราะการเล่นเป็นการพัฒนาวงจรประสาท แต่เรื่องนี้พ่อแม่ทำเองไม่ได้ ถ้ารัฐไม่สนับสนุน 5.ฝึกให้เด็กทำงานเอง เช่น งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แม้จะเป็นเด็กในครอบครัวที่มีฐานะแบบใดก็ตาม ถือว่าเป็นโอกาส เพราะการฝึกใช้นิ้วมือทั้ง 10 มีผลต่อการพัฒนาสมอง


“อ่านหนังสือนิทาน เล่น ทำงาน 3 อย่างนี้ต่อให้รัฐไม่ช่วย พ่อแม่ที่รู้ทันก็ทำได้ แต่ก็ยากหน่อยเหนื่อยหน่อย ลางานก็ไม่ได้ ปากกัดตีนถีบ เพื่อนบ้านอ่านออกเขียนได้บวกเลข 4 หลักไปแล้ว เรายังนับถึง 10 ไม่ได้เลย ก็หวั่นไหวกันไปทั่ว โซซัดโซเซกับมัน แต่ความจริงการอ่านออกเขียนได้ก่อนอายุ 7 ขวบ ไม่เป็นผลดี” นพ.ประเสริฐ กล่าวย้ำ

Shares:
QR Code :
QR Code