วัยซน…วิถีอินทรีย์’ คิดเป็น-ทำได้-ขายเอง’

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


ภาพประกอบจากข่าวสด


วัยซน...วิถีอินทรีย์' คิดเป็น-ทำได้-ขายเอง' thaihealth


การเพาะบ่มทักษะชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น ประสบการณ์นอกชั้นเรียนยังถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตของคนรุ่นใหม่ในวันนี้อีกด้วย เหมือนอย่างห้องเรียนเกษตรอินทรีย์ใน "โครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียน" ส่วนหนึ่งของกิจกรรมใน "โครงการสามพรานโมเดล" ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3


โครงการสามพรานโมเดล โดย ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครปฐมและใกล้เคียง ปรับวิถีคิด เปลี่ยนวิถีชีวิตเลิกพึ่งพาสารเคมี หันมาทำเกษตรอินทรีย์ ขณะเดียวกันช่วยส่งต่อองค์ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์เข้าสู่รั้วโรงเรียน ที่ มูลนิธิสังคมสุขใจ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 โดยร่วมกับทีมนักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน เพื่อหวังบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้เติบโตเป็นต้นกล้าที่สมบูรณ์แข็งแรง


สำหรับปีนี้ได้นักเรียนจาก 10 โรงเรียนในพื้นที่ จ.นครปฐม มาอบรมกระบวนการเสริมทักษะชีวิตผ่านแปลงเกษตรอินทรีย์ "สิ่งที่เข้าไปสอนครูไม่ใช่การปลูกผัก แต่เป็นวิธีคิดเรื่องการปลูกคน" นี่ถือเป็นโจทย์ท้าทาย สำหรับ ดร.วิภาวรรณ ตินนังวัฒนะ จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในอาจารย์ผู้รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับครู แต่ละโรงเรียนที่ผ่านเข้าร่วมโครงการ


วัยซน...วิถีอินทรีย์' คิดเป็น-ทำได้-ขายเอง' thaihealth


เธอเล่าถึงโครงการว่า แต่ละปีทางโครงการสามพรานโมเดล จะเปิดโอกาสให้โรงเรียนที่มีความพร้อมเสนอโครงการเข้ามา โดย 10 โรงเรียนที่ผ่านการให้พิจารณาจะได้รับทุนสนับสนุน และมีนักวิชาการลงพื้นที่ให้คำปรึกษาแนะนำครู ซึ่งหลักๆ เข้าไปให้ความรู้ ช่วยปรับวิธีคิด แนะนำครูให้มีการพัฒนาโมเดลหรือ รูปแบบการสอนเป็นของตัวเอง เน้นจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยยึดเรื่องเกษตรอินทรีย์เป็นหลัก ให้เด็กได้ซึมซับเรื่องอาหารปลอดภัย พร้อมทั้งมีทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ที่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง


"เป้าหมายหลักในการแก้โจทย์ คือ จะทำอย่างไรให้ครู และนักเรียนสามารถ บูรณาการความรู้ และสาระวิชาต่างๆ ได้ รวมทั้งทำโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมกันกับชุมชน มีการ ถ่ายโอนความรู้ให้แก่กันสามารถนำความรู้จากชุมชนเข้ามาสู่โรงเรียน  ในขณะเดียวกันเด็กก็สามารถนำความรู้ไปปรับประยุกต์ใช้ที่บ้านได้ด้วย"


กว่า 3 ปีที่ร่วมขับเคลื่อนโครงการ อ.วิภาวรรณ บอกว่า สิ่งที่สัมผัสได้  ก็คือ เด็กแต่ละโรงเรียนมีพัฒนาการ ในการนำเสนอ ทั้งการพูด การฟัง การคิด และการสื่อสาร รวมทั้งทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งการแสวงหาความรู้ไม่ได้มาจากครูหรือการปฏิบัติอย่างเดียว แต่มาจากการสังเกตสิ่งที่พบเจอในแปลงเกษตร ขณะเดียวกันชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมช่วยสร้างการเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ เช่น  เลี้ยงกบ ทำปุ๋ย ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของโครงการนี้ที่เน้น การปลูกคน ไม่ใช่ปลูกผักให้เป็นอย่างเดียว โดยหลักคือ ความรู้คู่คุณธรรม ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นฐานคิดที่สำคัญมาก


ด้าน เกษมสันต์ มีจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดจินดาราม หนึ่งใน 10 โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะโรงเรียนติดกับสวนลำไย เวลาเกษตรกรฉีดพ่นสารเคมี ละอองจะพัดเข้ามาในโรงเรียน จึงเกิดความคิดว่าการเปลี่ยนความคิดผู้ใหญ่นั้นยาก แต่ต้องเปลี่ยนที่ต้นกล้า คือ ตัวเด็ก ในโรงเรียนให้เห็นความสำคัญของ เกษตรอินทรีย์ โดยบอกว่าแปลงเกษตร มีชีวิต เช่น หนอน ไส้เดือนนั้นให้ คุณประโยชน์กับดินและผลผลิตที่ คนเรากิน ถ้าใช้สารเคมี ประโยชน์จาก สิ่งมีชีวิตในดินก็จะสูญหายไป และยัง ไม่ดีต่อสุขภาพด้วย "โครงการนี้ไม่ใช่แค่สอนปลูกผัก แต่สอนเด็กให้คิดเป็น ทำได้ และต้องขายเอง ถือเป็นการให้ต้นทุนชีวิตนักเรียน ฝึกให้เขารู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีม มีความรับผิดชอบ รู้จักเสียสละ เป็นโมเดลที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี" ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดจินดารามบอก


วัยซน...วิถีอินทรีย์' คิดเป็น-ทำได้-ขายเอง' thaihealth


ด.ญ.อริสรา อรุณรัตน์ หรือ  น้องพรีม นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนวัดจินดาราม เล่าว่า ชอบเรื่องการทำเกษตร จึงได้สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกชมรม เกษตรอินทรีย์ของโรงเรียน ผักต่างๆ  ที่ปลูกในโรงเรียน ก็สามารถนำไป ปลูกได้เองที่บ้าน เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า มะเขือเทศ โดยทำเป็นแปลงเล็กๆ  ใช้เนื้อที่น้อย เมื่อออกผลผลิตก็เก็บไว้กินภายในบ้าน ยิ่งไม่ใช้สารเคมีก็ยิ่งได้กินผักอย่างมีความสุข เพราะปุ๋ยก็หมักเองจากเศษใบไม้ และมะนาวมะกรูดก็เอามาทำเป็นน้ำยาล้างจาน


ขณะที่ น้องกิ๊บ-ด.ญ.ชลธิชา บุญเฉลิม นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านคลองใหม่ที่เข้าโครงการนี้ตั้งแต่อยู่ชั้นป.3 ยอมรับว่ามีความสุขที่ได้ทำเกษตร ได้อยู่กับธรรมชาติ สนุกที่ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ครูไม่ได้สอนให้หนูปลูกผักเป็นอย่างเดียว แต่ครูสอนให้พวกหนูเป็นแม่ค้า พาออกไปขายผักที่ตลาดสุขใจ ช่วงวันหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ สอนให้รู้จักบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้เราเห็นคุณค่าของเงิน และการได้พบปะกับลูกค้า ทำให้เรากล้าที่จะพูด และรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เอง


วัยซน...วิถีอินทรีย์' คิดเป็น-ทำได้-ขายเอง' thaihealth


อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เด็กๆ ได้ใช้ โชว์ความสามารถ ใช้ความรู้ ทักษะ ความคิด รวมถึงเทคนิคการขาย ที่คุณครูได้บ่มเพาะ มาตลอดระยะเวลา 1 ปี การศึกษา ทางโครงการได้เปิดพื้นที่ให้ กับทั้ง 10 โรงเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรม ในงาน "วันสังคมสุขใจ" ระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2559 ที่สวนสามพราน เพื่อใช้เป็นเวทีในการนำเสนอผลงาน และออกร้านจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตกันเองในโรงเรียน ซึ่งปีนี้แต่ละโรงเรียนต่างเตรียมการกันอย่างคึกคัก อาทิ โรงเรียนบ้านเพลินวัฒนา นำเมนูอินทรีย์วิถีอาเซียนเลิศรส มาจำหน่าย โรงเรียนวัดจินดาราม ขนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเห็ดหลากชนิด ที่เพาะเอง แปรรูปเอง นำมาขายเอง 


เช่นเดียวกับโรงเรียนบ้านดงเกตุ ที่มีทั้งผักสด ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเห็ด และน้ำสมุนไพรเผื่อสุขภาพ ขณะที่โรงเรียนบ้านคลองใหม่ มาพร้อมเมนูส้มตำอินทรีย์ น้ำสมุนไพร ขนมไทยชนิดต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นฝีมือนักเรียนทั้งสิ้น ส่วนโรงเรียนวัดสรรเพชญโชว์ปลูกผัก วอเตอร์เกรสในขวด พร้อมจำหน่าย ปุ๋ยมูลไส้เดือนรวมถึงชีวภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ เด็กนักเรียนชั้น ป.1 พร้อมใจกันมา นำเสนอ นอกจากนี้ยังมีการประกวดการนำเสนอผลงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียนบนเวที ชิงทุน การศึกษา 10,000 บาท อีกด้วย


"นอกจากสินค้าเกษตรอินทรีย์เก็บสดจากแปลง ผลิตภัณฑ์แปรรูป หรือแม้แต่ชีวภัณฑ์ต่างๆ ที่เด็กๆ  ผลิตกันเองแล้ว ยังเป็นการฝึกให้ เด็กรู้จักการทำงานเป็นทีม มีวินัย  มีความรับผิดชอบ เป็นผลลัพธ์ใน แปลงเกษตรที่ต้องได้มากกว่าผัก  นั่นคือ การปลูกฝังคน" อ.วิภาวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code