วันน้ำของโลก กับสถานการณ์น้ำของไทย
จากการที่น้ำจืดขาดแคลนมากขึ้นในปี พ.ศ. 2535 สมัชชาสหประชาติได้ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็น “วันน้ำของโลก” (World Day For Water) หรือวันน้ำโลก ( World Water Day)
โดยเริ่มต้นในปี 2536 เป็นปีแรก และชักชวนให้ประเทศต่าง ๆ รับเป็นวันสิ่งแวดล้อมของชาติ เพื่อระลึกถึงความสำคัญของน้ำ กระตุ้นให้ประชาคมโลกร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำโดยช่วยกันดูแล บำรุงรักษา และการพัฒนาแหล่งน้ำ วันน้ำโลกจึงเริ่มต้นในปี 2536 เป็นปีแรก
สำหรับประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรน้ำว่า “น้ำคือชีวิต” และได้พระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์พัฒนา และบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมาโดยตลอด ดังนั้นในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในพ.ศ. 2539 คณะรัฐมนตรีได้เทิดพระเกียรติคุณในฐานะที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการพัฒนา ทรัพยากรน้ำ โดยได้น้อมเกล้าฯถวายสมัญญา “พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ำ”
คาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้าในปี 2567 จะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 9,182 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ขณะที่ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำประมาณ 70,249 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จำแนกได้เป็น 4 ประเภท คือการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคประมาณ 2,460 ล้านลูกบาศ์เมตรต่อปี การใช้น้ำเพื่ออุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวประมาณ 2,396 ล้านลูกบาศก์เมตร การใช้น้ำเพื่อการเกษตร ในเขตชลประทานขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และพื้นที่สูบน้ำด้วยไฟฟ้า พื้นที่ประมาณ 40 ล้านไร่ มีการใช้น้ำประมาณ 53,034 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 75.5 ของปริมาณความต้องการในปัจจุบัน และมีการใช้น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร 5,655 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
ขณะที่เมื่อวัดปริมาณน้ำฝนที่ตกทั่วประเทศ คิดออกมาเป็นปริมาณน้ำ 732,975 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี แต่ปริมาณน้ำได้สูญหายไปในผิวดิน ทำให้เหลือปริมาณน้ำที่อยู่บนดินเพียง 213,303 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งปริมาณน้ำท่าดังกล่าวถูกกักเก็บไว้ในเขื่อนขนาดใหญ่ ขนาดกลางรวม 76,131 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี บางส่วนไปอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ พื้นที่ชุ่มน้ำ และส่วนที่เหลือจะไหลลงสู่ทะเล
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดย ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศทรัพยากรน้ำ