วัคซีนมะเร็งปากมดลูกสำหรับเด็ก

ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


วัคซีนมะเร็งปากมดลูกสำหรับเด็ก thaihealth


แฟ้มภาพ


“กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข” เผย 10 ปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการพิจารณาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคอย่างรอบคอบ เพื่อผลประโยชน์สำหรับเด็กไทยและยึดผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก ชี้ดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปด้วยอย่างรอบคอบ ภายใต้คำแนะนำของคณะผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับระดับชาติและนานาชาติ


นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าในการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือวัคซีนเอชพีวี จะฉีด 2 เข็มห่างกัน 6 เดือนในเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 แสนคนทั่วประเทศ โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ ส่วนข้อกังวลที่ว่าวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ น่าจะดีกว่าชนิด 2 สายพันธุ์นั้น  ขอให้มั่นใจว่าวัคซีนทั้งสองชนิด ให้ผลในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน และสามารถใช้ทดแทนกันได้ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ส่วนสายพันธุ์ 6 กับ 11 ที่บรรจุอยู่ในวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์นั้น เป็นการป้องกันโรคหูดที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในกลุ่มชายรักชาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการป้องกันมะเร็งปากมดลูกแต่อย่างใด


วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือเอชพีวี จะช่วยลดความสูญเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มีการตรวจอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งวัคซีนดังกล่าว ผ่านการศึกษาความปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มทุน มาแล้วอย่างรอบคอบ ทั้งนี้การดำเนินการบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกอยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ และเป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงานในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติ โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้วางแผนดำเนินการมาหลายปีที่ต้องการให้เด็กได้วัคซีน เพื่อหวังผลป้องกันมะเร็งปากมดลูกในอีก 20-30 ปีข้างหน้า


อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โดยนับตั้งแต่ปี 2551 คณะกรรมการฯ ได้เริ่มนำวัคซีนนี้มาพิจารณา แต่ในระยะแรกยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะวัคซีนมีราคาแพงเข็มละกว่า 1,000 บาท และมีข้อกังวลเรื่องประสิทธิผลและความคุ้มทุน ทำให้ไม่สามารถจัดหาได้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค มีคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งประกอบด้วยคณะผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ได้กลั่นกรอง ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะด้านวิชาการเกี่ยวกับวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค รวมทั้งเสนอทางเลือกด้านนโยบายมาโดยตลอด


ต่อมาเมื่อปี 2557 ภายหลังได้มีการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนในประเทศไทย ซึ่งพบว่าให้ผลดี สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก กรมควบคุมโรคจึงได้เดินหน้าเพื่อให้มีการบรรจุวัคซีนนี้เข้าไปในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย โดยให้มีการต่อรองราคาและนำเข้าไปอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ ของ สปสช. และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ

Shares:
QR Code :
QR Code