ล่ามชุมชน ตัวกลางเชื่อมกลุ่มชาติพันธุ์
เรื่องโดย เทียนทิพย์ เดียวกี่ Team Content www.thaihealth.or.th
ให้สัมภาษณ์โดย นายวิวัฒน์ ตามี่ ผู้ประสานงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง (ศปส.) ผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบและบริการสุขภาพ สำหรับผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิ สสส. และนางหน่อแอริ ทุ่งเมืองทอง แกนนำกลุ่มชาติพันธุ์
ภาพโดย นัฐพร ชุ่มลือ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
การสื่อสาร เป็นทักษะพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันมีความสะดวกและง่ายขึ้น แต่ภาษาหรือสัญลักษณ์ที่ใช้ในการสื่อสารของทั้งผู้ส่งและผู้รับที่มีความหมายแตกต่างกัน ย่อมทำให้การสื่อสารนั้นเกิดความผิดพลาดได้
ทำไมโลกนี้ต้องมี ล่าม ?
ล่าม หมายถึง ผู้แปลคำพูดจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งโดยทันที ในขณะที่การสื่อสาร หมายถึง วิธีการนำถ้อยคำ ข้อความ หรือหนังสือ เป็นต้น จากบุคคลหนึ่งหรือสถานที่หนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งหรืออีกสถานที่หนึ่ง ลองคิดดูว่า หากไม่มีล่าม การสื่อสารระหว่างต่างชาติ ต่างภาษาต้องเกิดปัญหาใดปัญหาหนึ่งขึ้นเป็นแน่
เช่นเดียวกับปัญหาการสื่อสารที่เกิดขึ้นของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการติดต่อสื่อสารผ่านภาษาพื้นเมือง ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กว่า 476,351 คน เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล เพราะความแตกต่างทางภาษา ที่ทำให้กระบวนการสื่อสารระหว่างผู้ส่งและผู้รับสารเกิดความผิดพลาด
“ปัญหาหลัก ๆ ด้านสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่คือเรื่องการสื่อสาร เพราะคุยกันคนละภาษา ทำให้ไม่เข้าใจกัน เมื่อคุยกันก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คนป่วยก็บอกไม่ได้ว่าเจ็บป่วยอะไร ตรงไหน ส่วนหมอที่รักษาก็ไม่สามารถบอกให้เข้าใจได้ว่าผู้ป่วยเป็นอะไรต้องรักษาดูแลตัวเองอย่างไร อีกทั้งชาวบ้านชุมชนบนพื้นที่สูง ชุมชนห่างไกลก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิประโยชน์ เพราะเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารที่ควรได้รับ” คำบอกเล่าของ นายวิวัฒน์ ตามี่ ผู้ประสานงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง (ศปส.) และ ผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบและบริการสุขภาพ สำหรับผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิ สสส. ที่นำมาสู่การแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่พลิกวิกฤติด้านการสื่อสารให้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการที่เรียกว่า ล่ามชุมชน
ล่ามชุมชนคือใคร ?
นายวิวัฒน์ อธิบายว่า ล่ามชุมชนส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ประกอบไปด้วย อาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน หรือ อสม. และเยาวชนที่สนใจอาสามาร่วมกิจกรรม บทบาทหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพและช่วยประสานงานต่าง ๆ ให้ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือเรื่องการแปลภาษาระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ
ล่ามชุมชนเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2555 ผ่านโครงการพัฒนาระบบและบริการสุขภาพของชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ล่ามชุมชนจะอยู่ในชุมชนเป็นหลัก โดยการทำงานมีหลายลักษณะ เช่น ช่วยให้คำปรึกษาชาวบ้าน ช่วยพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ช่วยประสานงาน บางพื้นที่ล่ามจะสลับกันมาช่วยแปลประจำที่โรงพยาบาล โดยทำหลายหน้าที่ ทั้งประชาสัมพันธ์ ช่วยให้ข้อมูล แปลภาษาตอนคัดกรองและตอนรักษา
จริงหรือไม่ ที่ใครๆ ก็เป็นล่ามชุมชนได้
ล่ามชุมชน ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ เพราะต้องอาศัยความรู้ความสามารถที่จะเป็นตัวช่วยให้การสื่อสารไม่ผิดพลาด โดยเปิดรับสมัครไม่จำกัดวุฒิการศึกษา แต่ต้องพูดได้สองภาษา อย่างน้อยต้องได้ภาษาไทยและภาษาชาติพันธุ์ของตนเอง ต้องอ่านออกเขียนได้ และที่สำคัญคือสามารถเข้ามารับการพัฒนาศักยภาพได้ หลังจากอบรมเสร็จก็มาฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
เสียงสะท้อนจากผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์
“ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านห่างจากตัวอำเภอประมาณ 45 กม. ในการเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ผู้หญิงชาติพันธุ์ไม่สามารถเดินทางเพียงคนเดียวได้ เพราะมีความยากลำบาก อีกทั้งยังพูดภาษาไทยได้ไม่คล่อง ทำให้ผู้หญิงชาติพันธุ์เข้าถึงการรักษาค่อนข้างที่จะช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะมีช่องว่างระหว่างการเดินทางและการสื่อสาร” เสียงสะท้อน จาก หน่อแอริ ทุ่งเมืองทอง แกนนำกลุ่มชาติพันธุ์ เธอเล่าว่า ล่ามชุมชนจะเป็นสะพานเชื่อมระว่างภาษาหมอและภาษาชาวบ้าน ล่ามชุมชนจะช่วยเหลือหมอ เพื่อที่จะให้หมอเข้าใจชนเผ่าพื้นเมืองมากขึ้น ล่ามชุมชนจึงเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมืองอย่างเช่นหมู่บ้านของเธอ
เธอเล่าต่อว่า มีช่องว่างอยู่ในโรงพยาบาลหรือสถานบริการต่าง ๆ ในเรื่องของภาษา เพราะเป็นภาษาที่คนชาติพันธุ์ไม่เข้าใจ หรืออาจจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สสส.ได้มีโอกาสลงพื้นที่จึงได้พัฒนาล่ามขึ้นมาเพื่อให้หมอได้สื่อสารกับคนไข้ คนไข้ได้สื่อสารกับหมอได้มากขึ้น โดยผ่านกระบวนการของล่าม
“เราอยากให้พื้นที่ที่มีล่ามชุมชน เป็นพื้นที่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เราจะต้องลุกขึ้นมาและเป็นตัวแทนเสียงของผู้หญิงที่อยู่ในชุมชนและผู้หญิงอีกหลายร้อยคน เพื่อที่จะให้ผู้หญิงหรือกลุ่มชาติพันธุ์เข้าถึงบริการสุขภาพที่เป็นธรรม เราต้องใช้พื้นที่ของล่ามชุมชนเป็นตัวเชื่อมให้หลายพื้นที่ที่ยังประสบปัญหา ให้ได้รับบริการเหมือนอย่างพวกเรา เพื่อที่ล่ามชุมชนจะได้เป็นสะพานเชื่อมให้ผู้หญิงชนเผ่ามีส่วนในการดูแลสุขภาพ อยากให้โครงการนี้ขยายไปยังผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งมีจำนวนมาก”
ล่ามชุมชนอาสา ทำแล้วได้อะไร?
ล่ามชุมชน เป็นอาสาสมัคร ไม่มีค่าตอบแทน แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคือความรู้สึกที่ได้ทำเพื่อคนอื่น โดยนายวิวัฒน์ เล่าว่า มีล่ามชุมชนเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อเขาไปทำแล้วเขามีความสุข เพราะได้เสียสละทำเพื่อคนอื่น เข้าใจปัญหาของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น ทำให้เกิดความภาคภูมิใจว่าเขามีส่วนที่ช่วยให้ผู้รับบริการและผู้ให้บริการสามารถคุยกันรู้เรื่องได้ประโยชน์เหมือนกัน และเป็นประโยชน์ในการพัฒนาระบบสุขภาพอีกด้วย
เช่นเดียวกับ อิมะ วุยแม ล่ามชุมชนอาสา บอกว่า ตนเองดีใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อมีล่าม ก็ทำให้การรักษาง่ายขึ้น เมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่น ตนเองก็มีความสุข โดยมีผู้รับบริการเคยบอกว่าอยากให้ตนอยู่ประจำที่โรงพยาบาลนาน ๆ เพราะเมื่อพวกเขาไม่สบาย จะได้สื่อสารกับหมอได้
นับว่าล่ามเป็นกลไกที่สำคัญ ที่ทำให้ผู้ให้บริการและผู้รับบริการเข้าใจกันมากที่สุด ทั้งยังสามารถช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระบุคลากรในสถานพยาบาลอีกด้วย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมส่งเสริมให้เกิดล่ามชุมชนอาสาในหลายพื้นที่ เพื่อสนับสนุนอาสาสมัครชาติพันธุ์ ให้เป็นสื่อกลางดูแลสุขภาพ เพิ่มโอกาสเข้าถึงด้านรักษาพยาบาลแก่กลุ่มชาติพันธุ์