ลงนาม MOU เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ต้องขัง
สสส.จับมือ ก.ยุติธรรม ลงนาม MOU เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง พัฒนาระบบการปฏิบัติต่อผู้ก้าวพลาด ชู “เปลี่ยนแปลงวิธีคิด – ให้โอกาส” พร้อมทำงานเตรียมความพร้อมหลังพ้นโทษร่วมกับชุมชน มุ่งคืนคนดีสู่สังคม-ลดการกระทำผิดซ้ำ
วันที่ 25 เมษายน ห้องแกรนด์บอลรูม 2 โรงแรมรามาการ์เดนส์ มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่องการพัฒนาระบบการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด ระหว่างกระทรวงยุติธรรม กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมลงนาม
นายชาญเชาวน์ กล่าวว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สสส. มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการขับเคลื่อนงานเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้กระทำความผิดและการปรับทัศนคติของชุมชนและบุคคลรอบข้างเพื่อส่งมอบคนดีให้กลับคืนสู่สังคม สำหรับข้อมูลล่าสุดจากกรมคุมประพฤติ เดือนมีนาคม 2557 มีผู้อยู่ระหว่างคุมความประพฤติ 281,064 คน แบ่งเป็น ผู้ใหญ่ 220,138 คน เด็กและเยาวชน 30,453 คน ได้รับการพักการลงโทษ 18,906 คน ลดวันต้องโทษ 11,567 คน และอยู่ระหว่างการฟื้นฟู 257,620 คน
นายชาญเชาวน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการพัฒนาระบบการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิด จะเป็นการบูรณาการทั้งในด้านองค์ความรู้และทำงานร่วมกันของส่วนต่างๆ อาทิ การพัฒนางานวิชาการในการดูแลฟื้นฟูและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การพัฒนารูปแบบการทำงานร่วมกับชุมชน การศึกษาค้นคว้ามาตรการและกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ที่จะช่วยลดจำนวนผู้กระทำผิดและผู้ที่ต้องถูกควบคุมตัวในที่ต้องขัง การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สุขภาวะ เพื่อส่งเสริมด้านคุณภาพชีวิต และการมีสุขภาวะที่เหมาะสม ของผู้ต้องขังและผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบเตรียมความพร้อมในการส่งผู้กระทำผิดกลับสู่สังคม ซึ่งต้องทำงานร่วมกับผู้เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน เช่น ครอบครัว ชุมชน และสังคม ด้วย ทั้งนี้ งานความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน มีขอบเขตครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงสร้างการทำงาน ระบบข้อมูลสารสนเทศ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและภาคีเครือข่าย
ด้าน ทพ.กฤษดา กล่าวว่า การที่สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ปัญหาต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ที่ส่งผลต่อจำนวนผู้กระทำผิดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งการกระทำผิดครั้งแรกและการกระทำผิดซ้ำจนเป็นวิกฤต เกิดปัญหาความหนาแน่นของผู้ต้องขังในเรือนจำ ซึ่งจะส่งผลถึงด้านสุขภาพ สุขภาวะ ของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ของเรือนจำเอง ระบบงานที่จะร่วมกันพัฒนาขึ้นในครั้งนี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแล ฟื้นฟู และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทำผิดเพื่อมุ่งสู้เป้าหมายการคืนคนดีสู่สังคม อันจะนำไปสู่การมีสังคมสุขภาวะสำหรับทุกคน โดยในส่วนของ สสส. จะให้การสนับสนุนในด้านการสร้างเสริมสุขภาวะ ลดช่องว่างด้านการเข้าถึงบริการทางสุขภาพในกลุ่มเฉพาะเช่นผู้ต้องขังที่เป็นคนพิการ คนสูงอายุ หรือคนที่มีปัญหาสุขภาพ ทั้งนี้รวมถึงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในด้านต่างๆ อาทิ สุขภาพอนามัย ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การเตรียมความพร้อมเพื่อกลับสู่สังคม การปรับทัศนคติของผู้เกี่ยวข้อง การยอมรับของครอบครัวและชุมชน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เนื่องจากปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาของบุคคลครอบครัว หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของสังคมโดยรวมที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน สอดคล้องกับภารกิจของสสส. ในการสร้างเสริมสุขภาวะให้กับสังคม
“การเปลี่ยนแปลงวิธีคิด ปรับทัศนคติ และให้โอกาส กับคนที่เคยทำผิด หลังจากที่ได้เข้ากระบวนการบำบัดฟื้นฟูแล้ว เชื่อว่า ผู้เคยกระทำผิดจะสามารถกลับตัวเป็นผู้ที่มีคุณค่าต่อสังคม เป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคม หากคนในสังคมให้โอกาส ซึ่งการลงนามข้อตกลงครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง”ทพ.กฤษดา กล่าว
นายประดิษฐ์ ศรีสมบูรณ์ อดีตผู้กระทำความผิดที่พ้นโทษแล้ว กล่าวว่า ตนต้องโทษใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำนานกว่า 17 ปี ต้องอยู่ภายในกฎระเบียบ มีความเป็นอยู่ไม่สะดวกสบาย และไม่ได้รับการติดต่อจากญาตินาน 12 ปี เมื่อพ้นโทษ ได้หางานทำแต่เปลี่ยนงานหลายครั้ง ต้องอดทนอดกลั้น ไม่ย่อท้อ จนตัดสินใจขอกู้ยืมเงินจากมูลนิธิพิบูลสงเคราะห์ ซึ่งมูลนิธิฯ ไม่ได้แค่ให้เงินแต่ฝึกอาชีพให้ด้วย ทำให้ลืมตาอ้าปากได้ และที่สำคัญที่สุดคือได้รับ “โอกาส” จากคนในสังคม ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านกาแฟบ้านสวัสดี และเป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ให้กับผู้ต้องขังที่พ้นโทษด้วย
ที่มา: สำนักข่าวสร้างสุข