ร้อนใน แผลในปาก เรื่องเล็กที่เจ็บจี๊ดกว่าที่คิด
ที่มา: โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
หลายคนคงคุ้นเคยกับอาการ “ร้อนใน” หรือแผลในปาก ที่แม้จะดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กลับสร้างความรำคาญและเจ็บปวดได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแผลร้อนในให้มากขึ้น พร้อมวิธีดูแลและป้องกันอย่างถูกต้อง
แผลร้อนใน คืออะไร?
แผลร้อนใน คือแผลเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก เช่น ริมฝีปากด้านใน กระพุ้งแก้ม ลิ้น หรือเหงือก แผลมักมีลักษณะเป็นวงกลม สีขาวหรือเหลือง มีขอบแดง และเจ็บเมื่อสัมผัสหรือเคี้ยวอาหาร ขนาดแผลอาจเล็กเพียง 1 มิลลิเมตร หรือใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร โดยทั่วไปจะหายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์
สาเหตุของแผลร้อนใน แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักมีปัจจัยกระตุ้นหลายประการ เช่น
-
กรรมพันธุ์
-
การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
-
ขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน B12, กรดโฟลิก
-
ความเครียด พักผ่อนไม่พอ
-
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (โดยเฉพาะในผู้หญิงช่วงมีประจำเดือน)
-
การแพ้อาหารบางชนิด
-
การใส่เหล็กดัดฟันหรืออุปกรณ์ในปาก
-
โรคเรื้อรัง เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคโครห์น, โรคเบเช็ท
อาการของแผลร้อนใน
-
แผลบวมแดง เจ็บเมื่อโดน
-
อาจมีไข้ หรือมีต่อมน้ำเหลืองบวมร่วมด้วย
-
หากแผลไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ หรือมีแผลหลายจุดพร้อมกัน ควรพบแพทย์
แผลร้อนใน อันตรายหรือไม่?
แผลร้อนในส่วนใหญ่มักหายได้เอง แต่หากแผลมีขนาดใหญ่ เกิดบ่อย หรือไม่หายขาด อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งช่องปาก โดยเฉพาะหากมีลักษณะดังนี้:
-
แผลจำนวนมากและเกิดซ้ำ
-
แผลขยายลุกลาม หรือมีลักษณะแปลกไปจากเดิม
-
แผลยังอยู่แม้ผ่านไปเกิน 2 สัปดาห์
วิธีดูแลและรักษาแผลร้อนใน
-
รักษาความสะอาดในช่องปากเป็นประจำ
-
ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม และน้ำยาบ้วนปากอ่อนๆ
-
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ด เปรี้ยวจัด หรือของทอด
-
ใช้ยาทาบรรเทาอาการ เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์
-
กรณีรุนแรง แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะหรือยาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
-
บางกรณีอาจรักษาด้วยการจี้แผลด้วยเคมีหรือไฟฟ้า
-
พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด
ใช้เกลือกลั้วปาก ดีจริงไหม?
การผสมเกลือ 1–2 ช้อนชากับน้ำ 1 แก้ว แล้วนำมาอมหรือบ้วนปากวันละ 2–3 ครั้ง สามารถช่วยลดการอักเสบได้ แต่ไม่ควรใช้เกลือบริสุทธิ์แตะแผลโดยตรง เพราะอาจทำให้ระคายเคืองและแผลหายช้าลง
วิธีป้องกันแผลร้อนในไม่ให้กลับมา
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน
-
กินผักผลไม้ให้เพียงพอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีวิตามิน B และ C
-
ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6–8 แก้ว
-
พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียด
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-
ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเคร่งครัด