ร่วมรณรงค์ลดปัญหานักดื่มหญิง
สสส. จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันสตรีสากล เพื่อสะท้อนปัญหาผู้หญิงกับสุรา
วันที่ 05 มี.ค.58 ที่ลานกิจกรรมเกาะพญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม ภายในงานมีการแสดงละครชุด“ห้องสีขาว” เพื่อสะท้อนปัญหาผู้หญิงกับสุรา โดยกลุ่มละครเพื่อสังคมและขบวนผู้หญิง จากนั้นนิสิตนักศึกษาหญิงเดินรณรงค์บริเวณป้ายรถเมล์ สถานีรถไฟฟ้า BTS แจกสติกเกอร์ “ไม่เสี่ยง…เลี่ยงดื่ม”และแผ่นพับการ์ตูนเล่าเรื่องราวผู้หญิงตกเป็นเหยื่อน้ำเมาสู่การถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 คน
นางสาว วสุนันท์ นิ่มบุตร ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวในเวทีเสวนา“ผู้หญิงกับสุรา มายาคติและผลประโยชน์” ว่าสถานการณ์การดื่มสุราของผู้หญิงจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปี2554-2557ดื่มเพิ่มขึ้นถึง636,428 ราย หรือเฉลี่ย159,107 รายต่อปี นอกจากนี้ผลวิจัย“วิถีการดื่มสุราของแรงงานหญิง” ปี 2557 ศึกษาโดย อ.ปุณิกา อภิรักษ์ไกรศรี คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างแรงงานหญิงเริ่มดื่มสุราครั้งแรก จำพวกSpy สาโท กระแช่ เหล้าแดงผสมโค้ก แล้วเพิ่มดีกรีการดื่มมากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดื่ม ได้แก่ ปัญหาครอบครัว 28.91%ความรัก 25.59%การทำงาน23.63%และส่งผลกระทบต่อตนเองคือ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เสี่ยงต่อความรุนแรงทางเพศ ถูกล่วงละเมิด และยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว สอดคล้องกับข้อมูลของทางมูลนิธิฯ ที่พบปัญหาการดื่มของกลุ่มผู้ใช้แรงงานหญิง คือ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย มีปัญหาหนี้สิน มีภาระเลี้ยงดูคนในครอบครัว กว่า17.24% หาทางออกด้วยเหล้า
“ที่ผ่านมาผู้หญิงเข้ามาขอรับคำปรึกษาจากมูลนิธิฯเพิ่มมากขึ้น เกือบทั้งหมดถูกมอมเหล้า นำมาสู่การล่วงละเมิดทางเพศ ดังนั้นทางออกคือผู้หญิงต้องพยายามห่างไกลจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนในเบื้องต้น ไม่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงเช่นร้านเหล้าผับบาร์ หรือกิจกรรมที่มีของมึนเมาและหากต้องเข้าไปในพื้นที่เหล่านั้นจริงๆ ต้องระมัดระวังเรื่องการกินหรือดื่มที่อาจมีส่วนผสมของยาบางชนิดทำให้ไม่รู้สึกตัวนำไปสู่การล่อลวงได้ ที่สำคัญไม่ว่าจะในพื้นที่ไหนๆ ผู้ชายก็ไม่มีสิทธิที่จะฉวยโอกาส หรือลวนลามคุกคามใครก็ได้ ทั้งนี้ปัญหาการคุกคามทางเพศส่วนใหญ่มักจะเกิดกับวัยรุ่น นิสิตนักศึกษาเราจึงเห็นด้วยหากรัฐบาลจะมีนโยบายให้ร้านเหล้าอยู่ห่างไกลสถานศึกษาและมีการควบคุมใบอนุญาตขายไม่ให้มีมากเกินไป และในสถานศึกษาทั้งระดับมัธยมและอุดมศึกษา ควรมีกลไกให้คำปรึกษา ช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่ประสบปัญหาความรุนแรงและการถูกคุกคามหรือละเมิดทางเพศด้วย”นางสาว วสุนันท์ กล่าว
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต กล่าวในประเด็น“มายาคติสังคมไทยต่อผู้หญิงกับสุรา” ว่ามายาคติที่ซ้อนทับเกิดความคลาดเคลื่อนต่อปัญหาผู้หญิงในเรื่องสุรา มีดังนี้1.มายาคติความเชื่อจากผลวิจัยจากหลายสำนักที่ว่า ผู้ชายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าผู้หญิง ทำให้เกิดมายาคติว่า ผู้หญิงมีความเสี่ยงน้อยเพราะดื่มน้อยกว่า ทำให้สังคมละเลยไม่ดูแลเอาใจใส่ปกป้องผู้หญิง จึงถูกผลักไสให้เป็นคนชายขอบในเรื่องเหล้า กลายเป็นประชากรที่ตกขอบในการรณรงค์แก้ปัญหาเรื่องเหล้า2.มายาคติผู้หญิงดื่มเหล้า ถูกนำเสนอในภาพที่บิดเบี้ยวจากความเป็นจริง แม้ข้อเท็จจริงผู้หญิงดื่มน้อยกว่าผู้ชาย แต่ภาพที่ปรากฏในสื่อเช่น ภาพยนตร์ ทำให้ผู้หญิงกลายเป็นนักดื่ม เป็นเมรีขี้เมา โดยพบฉากที่ผู้หญิงดื่มสุรามากถึง38.62% กลายเป็นสภาวะเหนือจริง และตีกรอบให้คนเชื่อว่านั่นคือภาพความเป็นจริงของผู้หญิง 3.มายาคติสร้างความเชื่อผิดๆว่า ไวน์ เป็นเครื่องดื่มที่ทำลายสุขภาพน้อยกว่าเหล้า จึงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมสำหรับผู้หญิง กลายเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ถูกตำหนิน้อยกว่าการดื่มเหล้า ที่น่าตกใจคือ การพัฒนารสชาติใหม่ๆเพิ่มรสหวาน เช่น สุราผสมน้ำผลไม้ เหล้าปั่น เหล้าถัง ค๊อกเทล เป็นการทำให้เหล้ากลายพันธุ์ เมื่อดูภายนอกจะมีสีสันสวยหวานสดใส เด็กวัยรุ่นผู้หญิงจะรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเอง ไม่คิดว่าจะเมาและไม่ได้เป็นการทำผิดอะไรกับการดื่ม เพราะรูปลักษณ์ถูกทำให้ดูห่างจากความเป็นเหล้าที่สังคมคอยห้ามปราม
“พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551 ได้ตีกรอบ ไม่ให้โฆษณาส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ย้ายไปจับจองพื้นที่บนเรือนร่างผู้หญิง เช่น สาวเชียรเบียร์ พริตตี้ชงเหล้า หรือ แอมบาสซาเดอร์ ผู้หญิงจะถูกสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาใหม่ เช่น ต้องสวมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของเครื่องหมายการค้า การอวดเรือนร่างเย้ายวนดึงดูดทางเพศ เหล้าถูกทำให้เป็นสินค้าที่เชื่อมโยงกับการเป็นวัตถุทางเพศ ไม่เพียงแต่ความเย้ายวนทางเพศที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ สินค้าที่ถูกขนานนามว่า“แบรนด์บาป”เหล่านี้ ยังได้ทำให้คุณลักษณะของ “ความเป็นแม่”ของผู้หญิงถูกใช้เป็นเครื่องมือทำการตลาดน้ำเมาแบบ CSR (Corporate Social Responsibility) ผ่านการรณรงค์ของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยชักชวนคู่แม่ลูกมาทำกิจกรรมเพื่อสังคม ในวาระสำคัญต่างๆ จึงจะเห็นได้ว่า ร่างกาย รวมทั้งความเป็นแม่ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญของผู้หญิง คือเป้าหมายที่ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นในการตลาดน้ำเมา” ดร.ชเนตตี กล่าว
ขณะที่ นางสาวเบญจพร บัวสำลี อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า จากบทเรียนชีวิตของตนเอง ประเด็นสำคัญคือ ร้านเหล้าข้างมหาวิทยาลัย ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการดื่ม หากไม่มีร้านเหล้าก็ยากที่นักศึกษาจะออกไปดื่มได้อย่างเสรี ดังนั้นเพื่อตัดวงจรเส้นทางการดื่ม ร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัยต้องไม่มี แน่นอนว่านี้คือเรื่องยาก เพราะมันเป็นเรื่องผลกำไร ผลประโยชน์ และเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับมหาวิทยาลัยที่เปิดช่อง ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องต่อสู้ ในฐานะที่มีหน้าที่ดูแลกำกับนักศึกษา วางกฎระเบียบ กติกา เหมือนที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียวได้มีแนวปฎิบัติอยู่ในขณะนี้ ซึ่งได้ผล โดยทำงานร่วมกัน ทั้งกับตำรวจในพื้นที่ กรมสรรพสามิต และส่วนท้องถิ่น ธุรกิจนี้อยู่ได้เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษา เมื่อมีกฎระเบียบเคร่งครัด ดูแลไม่ให้นักศึกษาเข้าไปยุ่งเกี่ยว ร้านเหล้าก็อยู่ไม่ได้ เมื่อก่อนร้านเหล้าข้างมหาวิทยาลัยมีจำนวนมากแต่ล่าสุดเหลือแค่ 2 ร้าน
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์