‘รามา’จับมือ สสส.พัฒนาสมองเด็กแนะอ่านหนังสือให้ลูกฟังดีกว่าดูทีวี

'รามา'จับมือ สสส.พัฒนาสมองเด็กแนะอ่านหนังสือให้ลูกฟังดีกว่าดูทีวี

จากการประชุมวิชาการ เรื่อง”พัฒนาศักยภาพ สมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน” จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนโดยแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพ (สสส.) และโครงการมหานครแห่งการอ่าน กทม. ที่ห้องประชุมรักตะกนิษฐ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

ศ.นพ.วินิต พัวประดิษฐ์ ศ.นพ.วินิต พัวประดิษฐ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า คณะแพทยศาสตร์ฯ ได้จัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยดูแลตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงเสียชีวิต หนึ่งในโครงการที่สำคัญคือ แผนพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศที่จะสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน โดยมีการแจกชุดหนังสือเล่มแรกของชีวิต หรือ bookstart แก่ผู้ปกครองเพื่อให้เด็กอ่านซึ่งยืนยันว่าเด็กในช่วงปฐมวัยนี้ต้องใช้หนังสือเพื่อการพัฒนาสมองไม่ใช่แท็บเล็ต

ดร.แบร์รี่ ซักเคอร์แมน (barry zuckerman) ด้าน ดร.แบร์รี่ ซักเคอร์แมน (barry zuckerman) ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เด็กไม่เพียงจะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์เท่านั้น แต่จะต้องมีความสุขกับการดำเนินชีวิต โดยจะต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มอัตราในช่วง 5-7 ปีแรก แต่อายุที่ควรจะเริ่มให้เด็กได้เรียนรู้ไม่ควรเกิน 6 เดือน เพราะเด็กจะเริ่มมีความสามารถในการมองเห็นและตอบสนองได้ดี ดังนั้นพ่อแม่จึงควรอ่านหนังสือและชี้ชวนให้ลูกดูรูปในหนังสือแทนที่จะให้ลูกดูโทรทัศน์ เพราะจากการวิจัยพบว่าการให้เด็กเล็กๆ ดูโทรทัศน์ไม่มีผลต่อการพัฒนาสมองเด็ก เนื่องจากรูปภาพที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโทรทัศน์ทำให้เด็กจดจ่อแต่ไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้ ทั้งนี้ การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ไม่ควรเป็นการสอน แต่ขอให้เป็นเวลาที่พ่อแม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกเป็นการชี้ชวนให้ดู โดยให้เด็กมีส่วนร่วมมากที่สุดจะทำให้เด็กสนุก และมีประสบการณ์ที่ดีในการสร้างนิสัยรักการอ่าน

ดร.แบร์รี่ ซักเคอร์แมน กล่าวอีกว่า อุปสรรคในการพัฒนาศักยภาพทางสมองของเด็กผ่านการอ่านคือ ความยากจน ซึ่งพบว่าเด็กที่มีฐานะยากจนจะมีพัฒนาการในการเรียนรู้ต่ำกว่าเด็กที่มีฐานะดีกว่า เด็กที่มีความเครียด ความรุนแรงในบ้านจะมีผลต่อความจำของเด็ก และเด็กที่มีความวิตกกังวล หรือตื่นตัวต่ออันตรายมากเกินไปจะทำให้ตัดโอกาสความอยากรู้อยากเห็นให้ลดลง ทั้งนี้จากการที่ตนได้ทำการศึกษาเด็กในชนบทของเมืองบอสตัน พบว่าพ่อแม่มักไม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังเพราะไม่มีเงิน ซึ่งมาจากวัฒนธรรมที่ไม่สอนลูกให้อ่านหนังสือ ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมนี้เหล่านี้ สำหรับประเทศไทยกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในการสนับสนุนการพัฒนาสมองเด็กผ่านการอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะการรักการอ่านจะเป็นพื้นฐานที่ทำให้เด็กรักการเรียนต่อไป

“สิ่งที่ต้องเน้นย้ำในการอ่านหนังสือให้เด็กฟังคือ การมองหน้าเด็ก ให้ความสนใจที่ตัวเด็กเป็นหลัก และต้องทำให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน เพราะการอ่านหนังสือในเด็กปฐมวัยเป็นการสอนให้เด็กรักการอ่าน ที่สำคัญคือการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อ แม่กับลูก ไม่ใช่เน้นการสอนให้เด็กเกิดการเรียนรู้ โดยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จะต้องเป็นตัวเชื่อมในการให้คำแนะนำพ่อแม่ในการพัฒนาสมองเด็กในช่วงปฐมวัยผ่านการอ่าน” ดร.แบร์รี่ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ