รับมือตลาดบุหรี่เล็งวัยรุ่นรุกปรับกฎหมาย-ต้านแรงยั่ว

20 กว่าปีที่ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบบังคับใช้ โดยมีเนื้อหาของกฎหมายเพื่อปกป้องเยาวชน และประชาชนที่ไม่สูบบุหรี่

บุหรี่ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงแรก ที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง ทั้งมะเร็ง ความดัน หลอดเลือดหัวใจและสมอง ถุงลมโป่งพอง ซึ่งปัจจุบันปัญหาโรคเรื้อรังเหล่านี้กำลังคุกคามชีวิตคนไทยเป็นลำดับต้นๆ  กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ศึกษาภาระโรคจากปัจจัยเสี่ยงของประชาชนไทยทุก 5 ปี พบว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยประมาณ 48,244 คนต่อปี

โดยเฉลี่ยคือ ผู้ชายจะตายจากบุหรี่ 1 ใน 6 คน และผู้หญิงตายด้วยบุหรี่ 1 ใน 25 คน โดยแต่ละปีคนไทยเสียเงินซื้อบุหรี่รวมกันแล้วถึง 80,000 ล้านบาท แต่เงินจำนวนนี้ยังน้อยกว่างบประมาณที่รัฐต้องจ่ายเป็นค่าดูแลสุขภาพประชาชน

เมื่อดูตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ พบว่า เมื่อปี 2552 กระทรวงสาธารณสุขจ่ายค่ารักษาใน 3 โรค คือ มะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจและหลอดเลือด

สามโรคนี้มีบุหรี่เป็นตัวการสำคัญในการก่อโรคถึง 51,569 ล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลได้รับรายได้จากภาษีบุหรี่เพียง 43,936 ล้านบาท

ยังพบว่าถ้าปล่อยให้เยาวชนกลายเป็นนักสูบหน้าใหม่ ใน 10 คน จะมี 7 คนสูบไปจนตาย อีก 3 คน เลิกได้ โดยมีอายุเฉลี่ยในการเลิกบุหรี่ที่ 46 ปี หมายความว่า เยาวชนจะต้องสูบบุหรี่ไปอีก 20 กว่าปี ถึงจะสามารถเลิกได้

จากสิ่งที่กล่าวมา จึงเป็นสาเหตุให้ประเทศไทยต้องมีการปรับปรุงมาตรการควบคุมปริมาณการบริโภคยาสูบ โดยเฉพาะการป้องกันนักสูบหน้าใหม่

แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายและมาตรการควบคุมยาสูบ ทั้งมาตรการทางภาษี เพื่อไม่ทำให้บุหรี่เข้าถึงได้ง่ายเกินไปโดยเฉพาะเยาวชน และมีกฎหมาย 2 ฉบับที่สำคัญที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ พ.ร.บ.ยาสูบ และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ แต่ปริมาณผู้สูบบุหรี่ก็ยังคงสูง

ตั้งแต่ปี 2534 อัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยเริ่มมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่าอัตราการลดสูบบุหรี่ ชะลอตัวลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีอัตราการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการทางภาษีที่หยุดชะงักลงในช่วง 5 ปีนี้ และยังพบช่องทางการสื่อสาร ส่งเสริมการตลาดรูปแบบใหม่ๆ ของบริษัทบุหรี่ ทำให้เยาวชนเป็นเหยื่อตกเป็นนักสูบหน้าใหม่จำนวนมากขึ้น

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับเรื่องมาตรการควบคุมการบริโภคยาสูบที่ได้ผลและเป็นตัวอย่างของอีกหลายประเทศ โดยไทยลงนามในกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก (who) จึงมีภารกิจที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับนานาชาติ

สำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงเร่งทำร่างแก้กฎหมายและยุบรวมพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ยาสูบ และพ.ร.บ. คุ้ม ครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ ให้เป็นพ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน คือพ.ร.บ.ควบคุมการบริโภคยาสูบ พ.ศ…..

สำหรับการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิ การมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ให้ความเห็นว่า สถานการณ์การตลาดในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงสูงมาก บริษัทบุหรี่พยายามใช้ช่องทางต่างๆ ในการเข้าถึงเด็กและเยาวชน เพราะรู้ว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าสำคัญในอนาคตที่จะต้องใช้จ่ายเงินให้กับบุหรี่ไปอีกแสนนาน ช่องทางที่เข้าถึงเยาวชนจึงเป็นช่องทางใหม่ๆ ตามพฤติกรรมของเยาวชน เช่น การขายผ่านอินเตอร์เน็ต การใช้พริตตี้เพื่อส่งเสริมการขาย เป็นต้น การปรับปรุงให้กฎหมายเท่าทันต่อสถานการณ์ และบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ถ้าจะลดโรคเรื้อรังให้มีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องลดปัจจัยเสี่ยงหนึ่งในนั้นและเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือการสูบบุหรี่ถือเป็นวิธีที่คุ้มค่าที่สุด โดยการลดปริมาณการสูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่ายและจำเป็นต้องใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพหลายวิธีร่วมกัน ทั้งภาษี ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปิดช่องทางการตลาดของสินค้าอันตรายต่อสุขภาพประชาชน” ศ.นพ.ประกิต กล่าว

นายเพียร เพลินบรรณกิจ เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย เป็นหนึ่งในตัวแทนที่ยื่นหนังสือต่อกรมควบคุมโรค ในนามสหพันธ์นิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย (สนภท.) อันประกอบไปด้วยสโมสรนิสิตและสโมสรนักศึกษาเภสัชศาสตร์ทั้งหมด 18 มหาวิทยาลัย โดยเรียกร้องให้สนับสนุนพ.ร.บ.เพื่อป้องกันการแทรกแซง การประชาสัมพันธ์และการสื่อสารการตลาดของอุตสาหกรรมยาสูบทุกประเภท และขอคัดค้านการกระทำอื่นใดของอุตสาหกรรมยาสูบที่เป็นการกระทำเพื่อส่งเสริมให้ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนมีการบริโภคยาสูบมากขึ้น รวมถึงในกรณีที่อุตสาหกรรมยาสูบทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย

การรวมร่างกฎหมายเพื่อยกร่างพ.ร.บ. ควบคุมการบริโภคยาสูบ พ.ศ….. จะมีประเด็น

ที่แก้ไขเพิ่มเติมจากพ.ร.บ.ควบคุมผลิต ภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 คือ เปลี่ยนคำนิยาม “ผลิตภัณฑ์ยาสูบ” ให้รวมถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบใหม่ๆ อาทิ บุหรี่ไฟฟ้า ปรับปรุงคำนิยาม “การโฆษณา” ให้ครอบคลุมการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ๆ อาทิ การใช้สื่อบุคคล “พริตตี้” ในการส่งเสริมการขาย ปรับปรุงคำนิยามว่า “ฉลาก” ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก

ประเด็นที่แก้ไขเพิ่มเติมคือ เพิ่มอายุขั้นต่ำที่จะซื้อบุหรี่และห้ามวิธีการขายที่เด็กๆ จะเข้าถึงได้ง่าย โดยห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบบุหรี่ซิกาแร็ตต่ำกว่าซองละยี่สิบมวน และห้ามแบ่งขายเป็นมวนๆ และห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบในสถานที่ อาทิ สถานพยาบาล สถานศึกษา ศาสนสถาน เป็นต้น

เพิ่มข้อห้ามการโฆษณาทางอ้อม คือ ห้ามการสื่อสารการตลาดในสื่อต่างๆ รวมถึงการใช้สื่อบุคคล (พริตตี้) ห้ามเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับ “การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม” ในทุกสื่อ

มาตราที่สอดคล้องกับอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก คือ ห้ามส่วนราชการรับอุปถัมภ์จากธุรกิจยาสูบ กำหนดลักษณะของจุดขายปลีกยาสูบ กำหนดให้บริษัทบุหรี่ต้องจัดส่งรายงานประจำปีให้คณะกรรมการควบคุมยาสูบ กำหนดแนวทางการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับบริษัทบุหรี่ กำหนดและเพิ่มโทษผู้กระทำผิดกฎหมาย

ประเด็นที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 คือ กำหนดสภาพและลักษณะของ “เขตปลอดบุหรี่” กำหนดให้ผู้ดำเนินการ (เจ้าของสถานที่สาธารณะ) มี หน้าที่รับผิดชอบไม่ให้มีการสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ กำหนดวิธีการบังคับใช้กฎหมายเขตปลอดบุหรี่ และเพิ่มโทษผู้ที่ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ และเจ้าของสถานที่

การแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย เป็นมาตรการสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยลดอัตราการบริโภคยาสูบของคนไทย อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยปละให้ธุรกิจยาสูบฉวยโอกาสแอบแฝงโฆษณา ทำดีหวังผลเหมือนซาตานในคราบนักบุญต่อไปเรื่อยๆ แล้วเหตุใดจึงจะไม่ช่วยกันสนับสนุน !!

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
Shares:
QR Code :
QR Code